เรื่อง

7 สิ่งที่ต้องเปลี่ยนเพื่อยืดอายุการใช้งานของรถ

7 สิ่งที่ต้องเปลี่ยนเพื่อยืดอายุการใช้งานของรถยนต์

7 สิ่งที่ต้องเปลี่ยน เพื่อยืดอายุการใช้งานของรถยน7 สิ่งที่ต้องเปลี่ยน เพื่อยืดอายุการใช้งานของรถยนต์

1. น้ำมันเครื่องรถยนต์ : น้ำมันเครื่องเป็นสิ่งจำเป็นอย่างแรกเลยสำหรับรถยนต์ที่จะต้องได้รับการดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างมาก เนื่องมาจากในชีวิตประจำวันยิ่งเราใช้งานรถยนต์บ่อยขึ้นเท่าไหร่ ก็ต้องขยันเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องรถยนต์มากขึ้นตามไปด้วยครับ ซึ่งตามอายุการใช้งาน เราควรจะเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องรถยนต์ตั้งแต่รถมีระยะการใช้งาน 5,000 ถึง 10,000 กิโลเมตรครับ

2. ไส้กรองน้ำมันเครื่อง : ผลพวงจากการใช้งานรถยนต์มาอย่างต่อเนื่องนั่นแหละครับ ที่จะทำให้รถของเราเสื่อมสภาพเร็วกว่ากำหนด ไส้กรองน้ำมันเครื่องก็เป็นส่วนสำคัญที่มีหน้าที่ในการกรองสิ่งสกปรกที่อาจจะหลุดเข้าไปในตัวเครื่องยนต์ของท่านได้ ซึ่งเราควรจะเปลี่ยนไส้กรองน้ำมันเครื่อง ตั้งแต่รถมีระยะการใช้งาน 5,000 ถึง 10,000 กิโลเมตรเช่นกัน

3. ไส้กรองอากาศรถยนต์ : สำหรับไส้กรองอากาศรถยนต์ สิ่งนี้เป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยกรองอากาศที่จะเข้าสู่ห้องโดยสาร และยังเป็นส่วนที่ทำให้เกิดปัญหาต่อเครื่องยนต์ด้วยครับ โดยอาการที่เราจะสังเกตเห็นได้ชัดเลยก็คือ เครื่องยนต์มีอัตรากำลังเร่งแผ่วลง, เครื่องยนต์มีอาการสั่น, อัตราการกินน้ำมันเชื้อเพลิงเปลืองมากกว่าปกติ และ ควันไอเสียมีสีดำเข้มขณะเร่งเครื่องยนต์

4. ผ้าเบรกรถยนต์ : ในส่วนของผ้าเบรกรถยนต์นั้น เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องดูแลเป็นอย่างยิ่ง เพราะนั่นคือความปลอดภัยของการขับขี่รถยนต์เลยก็ว่าได้ ผ้าเบรกรถยนต์ที่เสื่อมสภาพ มักจะเป็นส่วนเหล็กตรงก้ามเบรกที่เสียดสีกับจานเบรกทำให้จานเบรกเป็นรอย และอาจทำให้จานเบรกแตกหักได้ในอนาคต ดังนั้น ผ้าเบรกรถยนต์ เป็นสิ่งที่ต้องดูแลตามระยะการใช้งาน แนะนำว่าถ้าท่านใช้รถเป็นประจำ ก็ควรที่จะนำรถยนต์ของท่านเข้าเข้าเช็คระยะกับศูนย์บริการและอะไหล่อยู่เสมอ

5. แบตเตอรี่รถยนต์ : ตามอายุการใช้งานแล้ว แบตเตอรี่รถยนต์ ก็เป็นส่วนสำคัญที่ละเลยไม่ได้เลยทีเดียว ในระยะ 1-2 ปี ก็ควรที่จะเปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่ได้แล้ว เพื่อประสิทธิภาพในการใช้งาน และดูแลรักษารถของคุณ 

6. ยางปัดน้ำฝน : วิสัยทัศน์ในการมองเห็นก็เป็นปัจจัยสำคัญต่อการขับขี่ เมื่อยางปัดน้ำฝนมีปัญหาท่านไม่ควรที่จะละเลยการตรวจเช็ค และควรเปลี่ยนยางปัดน้ำฝนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งานและเพิ่มวิสัยทัศน์ในการมองเห็นให้ดีขึ้น และตัวทำร้ายยางปัดน้ำฝนของเราอย่างเลี่ยงไม่ได้ก็คือ แสงแดด ที่ส่องลงมาที่กระจก ความร้อนของแดดจะทำให้ตัวยางปัดน้ำฝนนั้นเสื่อมสภาพในการใช้งานได้ รู้แบบนี้แล้วต้องรีบกลับไปเช็ครถของคุณแล้วหล่ะครับ

7. หัวเทียนรถยนต์ : และสุดท้ายหัวเทียนรถยนต์ สำคัญเป็นอย่างมาก เพื่อป้องกันในส่วนของระบบการสตาร์ทของเครื่องยนต์มีปัญหา หัวเทียนรถยนต์ควรเปลี่ยนทุกๆ 40,000 กิโลเมตร หรือทุก 1 ปี 

       ทั้งหมดที่ได้เกริ่นมาข้างบนนี้ หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์ต่อท่านไม่น้อยเลยทีเดียว 7 สิ่งที่ต้องเปลี่ยนเพื่อยืดอายุการใช้งานของรถ เพื่อที่ท่านจะได้ถนอมอายุการใช้งานของเครื่องยนต์ให้อยู่กับท่านได้นานขึ้นไปครับ ท่านสามารถเข้ารับบริการต่างๆของเราได้ที่ โตโยต้า กรุงไทย ทั้ง 3 สาขา ดังนี้ สาขารามอินทรา, สาขาเกษตร และ สาขาตลิ่งชัน หรือ Call Center 02-510-9999 กด 9  นอกจากนี้ทางเรายังมีบริการ ศูนย์ซ่อมตัวถังและสี, ศูนย์บริการและอะไหล่ ไว้บริการท่านอีกด้วย
โตโยต้า กรุงไทย เรายินดีให้บริการอย่างเต็มความสามารถในทุกสาขา 
แล้วพบกันใหม่ในบทความหน้า สวัสดีครับ



ติดตามข่าวสาร โปรโมชั่นดีๆ และความเคลื่อนไหวของเรา

โตโยต้า กรุงไทย ได้ที่

youtube_logo  facebook icon  line icon  google plus icon  twitter icon


แชร์บทความ

 

EBD_Yaris_Ativ(2)

Yaris Ativ กับระบบเบรก EBD

EBD_Yaris_Ativ(2)

เรื่องของเบรก ระบบสำคัญที่ช่วยเพิ่มความปลอดภัยในขณะขับขี่ วันนี้นำสาระดีๆมาฝากกันเช่นเคย กับความรู้เรื่อง ระบบเบรก EBD ที่ผู้ขับขี่ต้องศึกษาไว้

ระบบเบรกแบบ EBD คืออะไร ?

ระบบควบคุมการกระจายแรงเบรก หรือชื่อย่อว่า EBD (Electronic Brake force Distribution) การทำงานของมัน มีหน้าที่คอยปรับสมดุลของแรงเบรกที่ล้อหน้าและล้อหลังให้เท่ากัน โดยมีหลักการทำงานประกอบด้วยชิ้นส่วนหลักคือ เซ็นเซอร์ที่ใช้วัดความเร็วที่ล้อหน้าและล้อหลัง ชุดวาล์วควบคุมแรงดันระบบไฮดรอลิก และปิดท้ายด้วยกล่องสมองกลคอมพิวเตอร์

ระบบเบรกแบบ EBD ทำงานอย่างไร ?

ในส่วนของการทำงานของ ระบบการควบคุมการกระจายแรงเบรกแบบ EBD  ระบบเบรกจะทำงานอัตโนมัติทันทีเมื่อผู้ขับขี่ทำการเหยียบเบรก โดยกล่องสมองกล (ที่ติดมากับรถ) จะนำค่าความต่างของความเร็วที่ล้อหน้าและล้อหลัง ซึ่งจะไม่ทำให้เบรกที่ล้อหลังล็อกจนเกิดท้ายปัด โดยเฉพาะการบรรทุกสัมภาระหรือผู้โดยสารจำนวนมาก น้ำหนักส่วนใหญ่จะลงที่ล้อหลัง ทำให้เบรกหลังต้องรับภาระมากขึ้นกว่าปกติ และเมื่อเหยียบเบรกขณะเข้าโค้ง น้ำหนักจะเทไปยังด้านนอกมากกว่าด้านใน เจ้า EBD จะช่วยแปรผันแรงดันน้ำมันเบรกส่งไปยังล้อด้านในให้เกิดความสมดุล จึงช่วยควบคุมรถให้ผู้ขับขี่เข้าโค้งได้ดีขึ้น แม้จะมีการเบรกขณะเข้าโค้งก็ตาม

ระบบเบรกแบบ EBD มีข้อดีอย่างไร ?

ระบบเบรก EBD

ถ้าพูดถึงระบบเบรกแบบ EBD นั้น แน่นอนว่ามีความสำคัญเป็นอย่างมาก เพราะจะช่วยเรื่องการทรงตัวของรถในขณะขับขี่ ไม่ให้รถสะบัด หรือเกิดอาการเหวี่ยงเมื่อมีการเบรกด้วยความรุนแรง

คงได้เห็นถึงประโยชน์ของระบบ ระบบควบคุมการกระจายแรงเบรก หรือ EBD กันไปแล้ว ซึ่งทางโตโยต้า ได้ติดตั้งระบบนี้เพื่อเสริมความปลอดภัยในรถรุ่นใหม่แล้วด้วยไม่ว่าจะเป็น Toyota Yaris Ativ, Toyota C-HR และ รถโตโยต้า เกือบทุกรุ่นแล้ว ท่านสามารถเข้ามาทดลองขับเพื่อทดสอบระบบเบรกแบบ EBD ได้ที่ โตโยต้า กรุงไทย  ทั้ง 3 สาขา อาทิ สาขารามอินทรา สาขาเกษตร และสาขาตลิ่งชัน นอกเหนือจากบริการด้านการขายแล้ว ทางโชว์รูมยังมี ศูนย์บริการและอะไหล่ คอยให้บริการทุกท่าน


วิดีโอรีวิวที่เกี่ยวข้อง

[embedyt] https://www.youtube.com/watch?v=xjk8uBzsrQI[/embedyt]


ติดตามข่าวสาร โปรโมชั่นดีๆ และความเคลื่อนไหวของเรา

โตโยต้า กรุงไทย ได้ที่

youtube_logo  facebook icon  line icon  google plus icon  twitter icon


แชร์บทความ

พวงมาลัยรถยนต์

พวงมาลัยรถทำงานอย่างไร

พวงมาลัยรถโตโยต้า

ทำความรู้จัก! การทำงานของระบบพวง มาลัยรถยนต์
พบกันอีกเช่นเคยกับบทความสำหรับผู้รักรถยนต์ โดยในวันนี้ทางทีมงาน โตโยต้า กรุงไทย ก็ไม่พลาดนำเกร็ดความรู้เกี่ยวกับรถยนต์มาฝากเช่นเคย อุปกรณ์อีกหนึ่งชนิดที่เรียกได้ว่าเป็นส่วนสำคัญของรถยนต์ เพราะถ้าไม่มีตัวนี้แล้ว รถของท่านอาจจะไม่สามารถขับเคลื่อนไปไหนก็ได้ แน่นอนซึ่งนั่นก็คือ พวงมาลัยรถยนต์ นั่นเองครับ พวงมาลัยรถยนต์ถือว่าเป็นชิ้นส่วนรถยนต์ที่สำคัญที่สุดชิ้นหนึ่งในรถยนต์เลยครับ เพราะทำหน้าที่ควบคุมให้รถยนต์ไปตามทิศทางที่กำหนดและยังเป็นอุปกรณ์ที่เราต้องทำความรู้จักมันให้มากๆเลยทีเดียว

ซึ่งส่วนประกอบที่สำคัญของระบบพวงมาลัย ได้แก่ พวงมาลัย, ขายึดแกนพวงมาลัย, แกนพวงมาลัย, หน้าแปลนพวงมาลัย, ยางข้อต่อ, กระปุกพวงมาลัย, แขนเกียร์พวงมาลัย, คันชักคันส่งกลาง, คันชักคันส่งข้าง , แขนดึงกลับ และกระปุกพวงมาลัย

รู้หรือไม่ครับว่า พวงมาลัยรถยนต์ในหลายๆค่ายที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน นิยมใช้กันหลายแบบโดยจะมีรูปแบบต่างๆ อาทิเช่น

แรคแอนด์พีเนียน ซึ่งเจ้าพวงมาลัยชนิดนี้ จุดเด่นก็คือ ต้นทุนไม่แพง เป็นระบบการบังคับเลี้ยวชนิดหนึ่ง แบบสะพานมีเฟือง กับเฟืองหมุนขนาดกะทัดรัด ใช้พื้นที่น้อย แถมยังตอบสนองการขับขี่ไวอีกด้วย

แบบบอลล์แอนด์นัท พวงมาลับแบบนี้มักจะนิยมใช้ในรถกระบะบางรุ่น อย่างเช่น โตโยต้า รีโว่ (Toyota Revo) หรือรถบรรทุกยี่ห้อดังหลายๆเจ้า รถโดยสารขนาดใหญ่ โดยการทำงานของเจ้าพวงมาลัยนี้จะมีชุดวาล์วเพื่อควบคุมทิศทางน้ำมันไฮดรอลิกส์แบบโรตารี่ ควบคุมการทำงานด้วยแรงหมุนพวงมาลัยจากผู้ขับร่วมกับความฝืดของยางรถยนต์กับพื้นถนน ซึ่ีงจะอาศัยการบิดตัวของทอร์ชันบาร์สปริง ข้อดีของขวงมาลัยแบบ แบบบอลล์แอนด์นัท นี้ คือทนมากกว่าแบบ แรคแอนด์พีเนียน ครับ

พวงมาลัยแบบเพาเวอร์ เป็นพวงมาลัยชนิดสุดท้ายที่ถูกผลิตมาใช้ในท้องตลาดครับ ซึ่งปัจจุบันมีย่อยลงไปอีก 3 แบบ ได้แก่

1. แบบใช้น้ำมันอย่างเดียว เรียกว่า แบบไฮดรอลิกส์

2. แบบไฮดรอลิกส์ร่วมกับไฟฟ้า

3. แบบไฟฟ้าใช้ระบบมอเตอร์ไฟฟ้าแบบไม่มีน้ำมันเพาเวอร์ สายพานหรือปั๊มเพาเวอร์คอยดึงกำลังจากเครื่องยนต์มาช่วย แต่จะเป็นระบบไฟฟ้าทั้งหมดเข้ามาช่วยในการเลี้ยวและหมุนพวงมาลัยได้สะดวกยิ่งขึ้น ข้อดีของเจ้าพวงมาลัยนี้ทำให้รถประหยัดน้ำมันมากกว่าเดิิม อีกทั้งยังลดภาระเครื่องยนต์ไม่ต้องบำรุงรักษาตามระยะ แต่เมื่อมีปัญหาก็ต้องเสียค่าซ่อมแพงหูฉี่เลยทีเดียว

เป็นอย่างไรบ้างครับสำหรับ เกร็ดความรู้เกี่ยวกับพวงมาลัยรถยนต์ ที่ทางทีมงานได้นำมาเสนอ คาดว่าคงจะเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับการขับขี่ ส่งผลไปถึงความปลอดภัยของรถยนต์ พวงมาลัยรถยนต์ ถือได้ว่าเป็นนวัตกรรมที่รถยนต์หลายค่ายต่อหลายค่าย แข่งขันกันผลิตออกมาให้ใช้งานดีที่สุดและทันสมัยที่สุด เพื่อตอบโจทย์ของการใช้รถยนต์ในยุคนี้มากที่สุดครับ ทั้งนี้ รถยนต์โตโยต้า ของเราก็ให้ความสำคัญกับการผลิตพวงมาลัยรถยนต์ให้ออกมาตอบสนองความต้องการ และได้มาตรฐานความปลอดภัยแก่ผู้ใช้งานมากที่สุดเช่นกัน

นอกจากนี้ทางเรายังมีบริการอื่นๆจาก ศูนย์ซ่อมตัวถังและสี, ศูนย์บริการและอะไหล่ ไว้บริการท่านอีกด้วย


โปรแรงๆ ขวัญใจ กระบะ Revo


ติดตามข่าวสาร โปรโมขั่นดีๆ และความเคลื่อนไหวของเรา

โตโยต้า กรุงไทย ได้ที่

youtube_logo  facebook icon  line icon  google plus icon  twitter icon


แชร์บทความ

5 สิ่งที่ห้ามทำสำหรับคนที่มีรถเกียร์ออโต้

5 สิ่งที่ห้ามทำสำหรับคนที่มีรถเกียร์ออโต้

5 สิ่งที่ห้ามทำสำหรับคนที่มี รถเกียร์ออโต้5 สิ่งที่ห้ามทำสำหรับคนที่มีรถเกียร์ออโต้

1.เมื่อจะต้องหยุดรถเป็นระยะเวลานานๆ ท่านไม่สมควรใส่เกียร์ไว้ในตำแหน่ง D ค้างไว้ ถึงแม้กระนั้น ท่านควรที่จะเลื่อนไปตำแหน่งเกียร์ N หรือ P แล้ว ดึงเบรกมือไว้ การที่ท่านใส่เกียร์ D ค้างไว้เป็นระยะเวลานานๆแล้ว มันจะส่งผลให้เกิดความร้อนสะสม ซึ่งทำให้องค์ประกอบด้านในชุดห้องเกียร์เกิดความเสียหาย อีกทั้งยังลดอายุการใช้งานให้สั้นลด ซึ่งนำไปสู่การเกิดอุบัติเหตุได้

2.เกียร์ออโต้ในรถยนต์รุ่นใหม่ ๆ จะมีโหมดให้เลือกเปลี่ยนเกียร์เองเหมือนเกียร์แมนนวล ในส่วนนี้จะทำให้ประสิทธิภาพการตอบสนองนั้นสู้เกียร์แมนนวลแท้ ๆ แบบมีคลัตช์ไม่ได้ ทำให้หลายคนชอบลากรอบเครื่องยนต์ให้สูง แล้วค่อยชิพเปลี่ยนเกียร์ที่คันเกียร์ หรือแพทเดิลชิพที่พวงมาลัยหรือวิ่งด้วยความเร็วสูงแล้วเปลี่ยนเกียร์ลงต่ำ ทำให้รอบเครื่องสูงไม่สัมพันธ์กับความเร็ว จะทำให้เกียร์ได้รับความเสียหายได้ ควรใช้ตำแหน่งเกียร์และความเร็วที่เหมาะสมสัมพันธ์กัน ไม่ควรใช้รอบเครื่องยนต์สูงโดยไม่จำเป็น

3. การใช้เกียร์ออโต้ในตำแหน่ง 1 หรือ L นั้น ควรใช้ในกรณีที่จำเป็นจริง ๆ จริงๆแล้ว กรณีนี้ควรจะใช้ในกรณีที่ต้องการแรงบิดที่มากขึ้นเวลาขึ้นทางลาดชัน ติดหล่ม ลากรถขึ้นจากหล่ม หรือเวลาลงทางชัน ต้องการใช้เอ็นจินเบรก แทนการใช้เบรกที่ล้อที่จะเกิดความร้อนสะสมได้ การใช้เกียร์ออโต้ในตำแหน่ง 1 หรือ L นั้น ไม่ควรใช้ต่อเนื่องเป็นระยะทางไกล ๆ เพราะจะทำให้เกิดความร้อนสะสมในห้องเกียร์ได้ซึ่งนำมาให้ระบบเกียร์เกิดความเสียหายได้ในระยะยาว

4. การขับรถเกียร์ออโต้นั้น ถ้าผู้ขับขี่ไม่มีความชำนาญหรือความคุ้นเคยกับเกียร์ออโต้ของรถแต่ละคันแล้วจะทำให้เกิดอุบัติเหตุได้เช่นกัน สำหรับในการคิ๊กดาวน์ หรือชิพดาวน์เพื่อต้องการอัตราเร่งเพื่อแซงรถคันหน้านั้น การตอบสนองของรถแต่ละยี่ห้อและรุ่นตอบสนองไม่เหมือนกัน บางรุ่นตอบสนองได้อย่างรวดเร็วทันใจ บางรุ่นจะมีหน่วงอยู่บ้าง ผู้ขับขี่ควรเรียนรู้และมีสร้างความคุ้นเคยกับรถที่ขับให้เป็นอย่างดี การเร่งแซงที่ผิดจังหวะ หรือกะระยะไม่ดี จะทำให้เกิดอุบัติเหตุได้

5. เกียร์ออโต้ก็ต้องการบำรุงรักษาเช่นเดียวกับส่วนอื่น ๆ ของเครื่องยนต์ สำหรับการบำรุงรักษาโดยปกติจะเป็นการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเกียร์ ควรเปลี่ยนตามที่บริษัทผู้ผลิตกำหนด อย่าฝืนใช้เกินกำหนดเป็นระยะทางเป็นเวลานาน บรรดาเศษโลหะจะสะสมในห้องเกียร์มากขึ้น และจะทำให้ระบบเกียร์ทำงานไม่ได้สมบูรณ์การระบายความร้อนห้องเกียร์ก็จะทำได้ไม่เต็มที่ อายุการใช้งานสั้นลง ต้องเข้าโรงซ่อมเพียงอย่างเดียวและเมื่อต้องซ่อมเกียร์จะเสียทั้งเวลาและเงินไปโดยใช่เหตุ

และสำหรับการดูแลและรักษายืดอายุการใช้งาน เกียร์ออโต้ นั้นทำได้ไม่ยากเพียงแค่ท่านผู้รักรถยนต์ลองฝึกและปฏิบัติตาม สร้างความคุ้นเคยกับ เกียร์ออโต้  ในรถยนต์ของท่านกันถึงแม้ท่านจะขับรถยนต์ได้คล่องขนาดไหน แต่เมื่อเกิดอุบัติเหตุก็ยังมีสิทธิ์เกิดขึ้นได้เสมอท่านสามารถติดตาม เกร็ดความรู้รถยนต์ และ สาระความรู้รถยนต์ ได้ที่เว็บไซต์ โตโยต้า กรุงไทย ซึ่งคราวหน้าจะเป็นเรื่องอะไรนั้น ต้องคอยติดตาม

นอกจากนี้ทางเรายังมีบริการอื่นๆจาก ศูนย์ซ่อมตัวถังและสี, ศูนย์บริการและอะไหล่ ไว้บริการท่านอีกด้วย


โปรแรงๆ ขวัญใจ กระบะ Revo


ติดตามข่าวสาร โปรโมชั่นดีๆ และความเคลื่อนไหวของเรา

โตโยต้า กรุงไทย ได้ที่

youtube_logo  facebook icon  line icon  google plus icon  twitter icon


แชร์บทความ

ระบบ T-Connect Telematics

ระบบ TELEMATICS ใน รถยนต์โตโยต้า C-HR คืออะไร ?

ระบบ T-Connect Telematics

ระบบ T-Connect Telematics

หลายท่านคงสงสัยกับนวัตกรรมใหม่ของรถยนต์โตโยต้าโดยเฉพาะรุ่น C-HR ที่มีเทคโนโลยีใหม่นั่นก็คือ ระบบ T-Connect Telematics แล้วท่านรู้ไหมครับว่า ระบบนี้มันคืออะไร มีประโยชน์การใช้งานและการทำงานอย่างไร บทความนี้ทางทีมงานโตโยต้า กรุงไทย จะพาไปทำความรู้จักกับระบบนี้กันครับ

ระบบ T-Connect Telematics นี้มีหลักการทำงานคือ เป็นการเชื่อมโยงและรับส่งข้อมูลทางไกลผ่านระบบเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ กับแอพพลิเคชั่น T-Connect  เป็นอีกหนึ่งการเชื่อมต่อรถยนต์ของคุณให้เป็นหนึ่งเดียวกัน โดยผ่านฐานข้อมูลหลัก และยังสามารถระบุตำแหน่งของรถยนต์ที่เชื่อมต่อกับระบบ Telematics นี้ได้ ซึ่งแน่นอนว่าจะมีค่าใช้จ่ายรายปีหรือตามแพ็คเกจ   และมีฟังก์ชั่นบริการดังนี้ 

1. หาพิกัด (Find my Car) ในระบบ Telematics ที่มากับโตโยต้า C-HR นั้น จุดประสงค์เพื่อป้องกันรถหายนั่นเองครับ โดยเจ้าตัวระบบ Find my Car จะทำการบอกตำแหน่งที่ตั้งของรถที่จอดอยู่เพื่อให้เจ้าของรถทราบว่าตอนนี้รถของท่านกำลังจอดอยู่ที่ไหนนั่นเอง

2. ประกันภัยจ่ายตามระยะ (Pay as you Drive) คุณสมบัติของระบบนี้อีกอย่างก็คือ ให้เลือกใช้ประกันภัยแบบ “ขับน้อย จ่ายน้อย” ข้อเสนอการคุ้มครองสุดพิเศษให้คุณจ่ายตามการใช้งานจริง *สำหรับการทำประกันภัยกับบริษัทฯ ที่กำหนดไว้เท่านั้น *

3. ระบบการช่วยเหลือแบบฉุกเฉิน (SOS) ในส่วนของระบบการช่วยเหลือแบบฉุกเฉิน ซึ่งเจ้าตัวระบบนี้จะเป็นระบบที่ให้ผู้ใช้รถยนต์ที่มีปัญหากลางทางไม่ว่าจะเวลาไหน (ตลอด 24 ชั่วโมง) สามารถติดต่อกับขอความช่วยเหลือได้ตลอด *แน่นอนว่าบางกรณีอาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม * 

4. แจ้งเตือน (Parking Alert) คุณสมบัติของระบบนี้คือใช้ได้จริงกับระบบแจ้งเตือนผ่าน Notification เมื่อรถถูกสตาร์ท หรือ รถกำลังถูกเคลื่อนที่นั่นเองครับ

5. การหาตำแหน่งรถยนต์เมื่อถูกขโมย (Stolen Vehicle Tracking) คุณสมบัติของระบบตัวนี้คือ เป็นระบบตรวจสอบตำแหน่งรถยนต์ เมื่อถูกโจรกรรมและ ศูนย์บริการ ที่พร้อมให้ช่วยเหลือคุณตลอด 24 ชั่วโมง นับตั้งแต่รถยนต์ของคุณถูกขโมยไป

6. สัญญาณอินเตอร์เน็ตไวไฟ (My Toyota Wi-Fi) อีก 1 ตัวเด็ดของระบบ T-Connect Telematics ที่มีในรถโตโยต้านั่นก็คือ Wi-Fi ในรถที่ท่านสามารถเชื่อมต่อความบันเทิงออนไลน์ ได้พร้อมกัน สูงสุด 9 อุปกรณ์ *ตามเงื่อนไขที่กำหนดในแพ็กเกจ * 

7. ระบบช่วยค้นหาเส้นทาง OPS (Operator Service) ในส่วนของระบบช่วยค้นหาเส้นทางนั้นเป็นระบบที่ท่านสามารถ ค้นหาเส้นทางได้ตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมทั้งบริการจองร้านอาหารชั้นนำ เพื่อความสะดวกสบายทุกการเดินทาง และสนุกไปกับการเดินทางแบบ Live Alive

8. ระบบนำทาง (Navigator) ในส่วนของระบบนำทางแบบ Navigator ที่มาพร้อมในรถของโตโยต้า รุ่นใหม่ไม่ว่าจะเป็น Toyota Fortuner, Toyota Camry, Toyota C-HR พร้อมแสดงการข้อมูลจราจรให้ท่านได้ถึงจุดหมาย ได้อย่างสะดวกรวดเร็วและแม่นยำดียิ่งขึ้น

สำหรับรถยนต์โตโยต้า C-HR มีทั้งหมด 4 รุ่น ซึ่งเทคโนโลยี T-Connect Telematics จะมีอยู่ในรถยนต์โตโยต้า C-HR เฉพาะรุ่น HV Hi, HV Mid และมีในรถยนต์รุ่นต่างๆที่กล่าวข้างต้น (ข้อ 8 ระบบนำทาง Navigator)

ทั้งหมดทั้งมวลนี้ทางทีมงานโตโยต้า กรุงไทย ก็อยากจะแนะนำให้ท่านเป็นเกร็ดความรู้ และเทคนิคยานยนต์ ที่ให้ท่านได้รู้ถึงประโยชน์และความสามารถของระบบ T-Connect Telematics ในรถยนต์โตโยต้า C-HR ที่ทางเราได้มีไว้จัดจำหน่ายแล้วทุกสาขา (สาขารามอินทรา สาขาเกษตรฯ-พหลโยธิน และสาขาตลิ่งชัน) แล้วครับ นอกจากนี้ทางเรายังมีบริการอื่นๆจาก ศูนย์ซ่อมตัวถังและสี, ศูนย์บริการและอะไหล่ ไว้บริการท่านอีกด้วย