เคล็ดลับยานยนต์ คลิปวิดีโอ รีวิวรถโตโยต้า ข่าวอัพเดทโตโยต้า เทคนิคยานยนต์ ประกันภัยรถยนต์ และ รอบรู้เรื่องรถอื่นๆ รวมถึงโปรโมชั่นรถใหม่ป้ายแดง

ลบโลโก้ฟิล์มกรองแสง

ลบโลโก้ฟิล์มกรองแสง ได้อย่างไร

ลบโลโก้ฟิล์มกรองแสงได้หรือไม่ลบได้อย่างไร

วิธีง่ายๆในการลบโลโก้ฟิล์มกรองแสง  ฟิล์มกรองแสงรุ่นใหม่ๆจะมีโลโก้ที่บ่งบอกถึงยี่ห้อฟิล์มของแต่ละรุ่นติดมาด้วย ซึ่งบางคนอาจจะไม่ชอบหรือโลโก้อาจจะอยู่ในตำแหน่งที่บดบังทัศนวิสัย  ก่อให้เกิดความรำคาญใจอยู่ไม่น้อย วันนี้จึงมีวิธีลบโลโก้แบบง่ายๆมาฝากกัน


วิธีลบโลโก้ฟิล์มกรองแสงและสิ่งที่ต้องใช้มีง่ายๆดังนี้
เตรียมน้ำยาล้างเล็บหรือแอลกอฮอล์ล้างแผล(ในกรณีที่ไม่มีน้ำยาลบโลโก้โดยตรง)
ใช้สำลีชุบน้ำยาล้างเล็บหรือแอลกอฮอล์แล้วทำการเช็ดออก โดยเช็ดจากด้านในของตัวรถ เพราะฟิล์มจะติดตั้งจากด้านในของตัวรถ แค่นี้ก็สามารถลบโลโก้ฟิล์มได้แล้ว

อย่างไรก็ตามแนะนำว่าควรเหลือโลโก้ฟิล์มกรองแสงไว้อย่างน้อย 1 จุด เพื่อใช้ในการทำเคลมประกันในกรณีที่ฟิล์มมีปัญหา จะได้ทราบว่าฟิล์มของเดิมเป็นรุ่นไหนยี่ห้ออะไร

ข้อควรระวังในการลบโลโก้ฟิล์มกรองแสง
1.ห้ามลบโลโก้จนหมดทุกจุดควรเหลือไว้1จุด
2.ในกรณีที่เปลี่ยนฟิล์มกรองแสงใหม่ ควรทิ้งรถไว้ 3 วันก่อน เพื่อให้ฟิล์มเซตตัวได้เต็มที่และไม่เกิดปัญหาตามมาทีหลัง

มันง่ายมากๆเลยใช่ไหม อย่างไรก็ควรทำด้วยความระมัดระวังกันด้วยนะครับ

 

สิ่งต้องห้าม ถ้าไม่อยากให้แอร์รถพัง

ห้ามทำสิ่งเหล่านี้ ถ้าไม่อยากให้แอร์รถพัง

ด้วยสภาพอากาศของบ้านเรา ส่วนมากก็คือร้อนกับร้อนมากแอร์จึงเป็นสิ่งสำคัญมากในชีวิตประจำวันและแอร์รถจึงสำคัญมากในทุกการเดินทาง แล้วถ้าแอร์เสียหรือมีปัญหาก็คงส่งผลทั้งร่างกายจิตใจคงทำให้หงุดหงิดอยู่ไม่น้อยจากความร้อน รวมไปถึงการเสียเวลาเสียเงินในการซ่อมอีกด้วย

แอร์รถยนต์

ถ้าไม่อยากให้แอร์พังอย่าทำสิ่งนี้

1.อย่าละเลยการล้างแอร์ ปัจจุบันการล้างแอร์รถยนต์ทำได้ทั้งแบบถอดตู้แอร์ ซึ่งเป็นวิธีแบบเดิมที่ทำมายาวนาน และแบบไม่ถอดตู้แอร์โดยการส่องกล้องและใช้หัวฉีดน้ำแรงดันสูงเพื่อทำความสะอาดแผงคอยล์เย็นภายในตู้แอร์

2.อย่าละเลยการเปลี่ยนไส้กรองแอร์ ซึ่งควรเปลี่ยนทุก 6 เดือน หรือทุก10,000-30,000 กิโลเมตร เพราะไส้กรองแอร์เป็นที่ดักจับฝุ่นและเป็นที่เก็บสะสมกลิ่นภายในรถ ถ้าไม่เปลี่ยนจะทำให้แผงแอร์สกปรกอุดตันและเกิดกลิ่นอับได้ง่าย

3.อย่านำการบูรหรือสารระเหยทิ้งไว้ในรถ เพราะจะเป็นตัวจับฝุ่น และความชื้น จะส่งผลให้เแอร์มีกลิ่นเหม็นอับและแผงแอร์อุดตันเร็วขึ้น

และยังเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรคและแบคทีเรียชั้นดี จนทำให้เกิดกลิ่นอับภายในรถนั่นเอง

4.อย่าปรับอุณหภูมิเย็นจนเกินไป เพราะจะทำให้เกิดความชื้นสะสมอยู่ในตู้แอร์ ซึ่งอาจก่อให้เกิดการอุดตันหรือเป็นสนิมได้และยังสิ้นเปลืองน้ำมันอีกด้วย

5.อย่าเปิดหน้าต่างแล้วเปิดแอร์ เพราะจะทำให้อากาศที่ร้อนจากข้างนอกเข้ามาและทำให้แอร์ทำงานหนักเกินไปจนพังได้

ควรดูแลบำรุงรักษาแอร์ตามระยะที่กำหนดหรือตามความเหมาะสมจากการใช้งานเพื่อยืดอายุการใช้งานและการทำงานให้ความเย็นของแอร์ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

 

รถเสียบนทางด่วน

รถเสียบนทางด่วน ควรทำอย่างไร

เมื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินรถเสียบนทางด่วน ควรทำอย่างไร

ปฏิเสธไม่ได้ว่าในปัจจุบันเราจำเป็นต้องใช้รถยนต์ในการเดินทางเกือบทุกวันหากเกิดเหตุฉุกเฉินบนทางด่วนไม่ว่าจะด้วยกรณีเกิดอุบัติเหตุ หรือ รถเสีย เราควรทำอย่างไร
เมื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน หรือเหตุไม่คาดคิดบนทางด่วนอาจทำให้คุณตกใจไม่น้อยและทำอะไรไม่ถูก สิ่งที่ควรทำอันดับแรกคือตั้งสติอย่าตกใจจนเกินไปแล้วปฏิบัติดังนี้
เปิดไฟฉุกเฉิน นำรถเข้าไหล่ทาง
ในกรณีรถยางแตกห้ามเหยียบเบรคให้รถหยุดในครั้งเดียวโดยเด็ดขาด แต่ให้ค่อยๆแตะเบรคและ ปล่อยไหลประคองรถเข้าข้างทางจนจอดสนิท

– โทรขอความช่วยเหลือที่เบอร์ 1543
หลังจากโทรขอความช่วยเหลือที่ศูนย์บริการข้อมูลผู้ใช้ทางพิเศษ (EXAT Call Center) เบอร์ 1543 (สามารถโทรได้ตลอด 24 ชั่วโมง) ควรนั่งอยู่ในรถและคาดเข็มขัดนิรภัยอยู่ตลอดเวลา เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุ และควรล็อกประตูไว้ด้วย

– วางเครื่องหมายให้เป็นจุดสังเกต
เพื่อเป็นสัญลักษ์ให้รถคันหลังที่ตามมาทราบจะได้ระวังไม่ทำให้เกิดอุบัติเหตุซ้ำ หากมีกรวยสีส้ม หรือป้ายสามเหลี่ยมสะท้อนแสง ให้วางไว้ด้านท้ายและด้านหน้าของรถ โดยเว้นระยะห่าง จากรถอย่างน้อย 30-50 เมตร

-เบอร์ที่ควรรู้เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินบนทางด่วน
การทางพิเศษแห่งประเทศไทย โทร. 1543

ทางหลวงและมอเตอร์เวย์ โทร.1586

โทลล์เวย์ โทร. 1233

ตำรวจทางหลวง โทร. 1193

โทรฉุกเฉิน

ในกรณีที่โทรศัพท์มือถือเสียหายใช้งานไม่ได้ บนทางด่วนจะมีโทรศัพท์ฉุกเฉินตั้งอยู่ทุกๆ 500–1,000 เมตร
ขอความช่วยเหลือโดยแจ้งสาเหตุ อาการของรถหรือสถานการณ์ที่เกิดขึ้น รวมถึงจุดที่นำรถเข้าจอดอย่างละเอียด รวมทั้งหากมีคนป่วยหรือบาดเจ็บ(ในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ)ควรแจ้งด้วย และหากต้องการรถลากควรเเจ้งเจ้าหน้าที่ด้วย

ทำไมต้องสลับยางรถยนต์

การสลับยาง ช่วยเรื่องอะไรบ้าง ยืดอายุการใช้งานของยางได้จริงหรือ?

การสลับยางรถยนต์ นอกจากจะช่วยยืดอายุการใช้งานของยางแล้ว ยังช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายอีกด้วย ยางรถยนต์ถือเป็นอีกหนึ่งส่วนที่สำคัญมากๆต่อความปลอดภัยในการขับขี่ อาจเกิดอันตรายได้หากยางเสื่อมสภาพหรือมีปัญหา การสลับยางรถยนต์จึงเป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะยืดอายุการใช้งานของยางได้และเพิ่มความสมดุลของหน้ายางอีกด้วย
สลับยาง

ทำไมต้องสลับยางรถยนต์

เพราะยางทั้ง 4 เส้น ทำหน้าที่หนักเบาต่างกันไป จึงทำให้ยางนั้นสึกไม่เท่ากัน ยางที่ใช้งานแล้วมีอัตราการสึกเยอะที่สุดคือตำแหน่งของเพลาขับ เพราะเวลาที่รถออกตัวนั้นยางจะถูกแรงบดที่หน้ายางจึงทำให้หน้ายางสึกหรอดอกยางหาย มากกว่าเพลาตาม ซึ่งหากเราไม่สลับยาง ยางในเพลาขับอาจจะหมดดอกเร็วกว่า ในเพลาตามและอาจจะเป็นเหตุให้เกิดอันตรายได้ ทั้งนี้การสลับยางยังช่วยประหยัดเรื่องค่าใช้จ่ายด้วย เพราะจากที่ต้องเปลี่ยนยางทั้ง4เส้นก็เปลี่ยนมาเป็นการสลับยางเพื่อยืดอายุการใช้งานได้อีกด้วย

แนะนำว่าควรสลับยางทุก 10,000 กิโลเมตร เพื่อความปลอดภัยของรถและตัวท่านเอง ควรนำรถเข้าเช็คระยะและสลับยางถ่วงล้อที่ศูนย์บริการรถยนต์เป็นประจำตามระยะที่กำหนดกันด้วยนะครับ

 

กุญแจรีโมทรถยนต์

เมื่อกุญแจรีโมทรถไม่ทำงาน แก้ปัญหาได้อย่างไร

เมื่อรีโมทรถไม่ทำงาน แก้ปัญหาได้อย่างไร

รถยนต์รุ่นใหม่ๆในปัจจุบันเกือบทั้งหมดหันมาใช้กุญแจรีโมท เพื่อความสะดวกสบายและปลอดภัย  รวมถึงมีฟังก์ชันการใช้งานต่าง ๆ ที่ทันสมัยมากยิ่งขึ้น แต่หากกุญแจรีโมทเกิดปัญหา หรือ มีปัญหาในการใช้งานจะทำอย่างไร

กุญแจรีโมท

สาหตุที่อาจจะเกิดขึ้นกับกุญแจรีโมท และ วิธีแก้ไขปัญหาอย่างตรงจุด

1.รีโมทกดไม่ติด ไม่มีสัญญาณตอบรับ
หากรีโมทเกิดใช้งานไม่ได้ กดไม่ติดไม่มีเสียงหรือไม่มีสัญญาณไฟ อาจเกิดจากแบตเตอรี่อ่อนหรือแบตหมดให้ตรวจเช็คแบตเตอรี่ก่อน แก้ไขเบื้องต้นโดยการจั๊มป์แบตเตอรี่กับรถคันอื่น

2. กดรีโมทมีเสียงสัญญาณดัง แต่ไฟเลี้ยวไม่กระพริบ
หากกดรีโมทแล้วมีเสียงสัญญาณปกติแต่ไฟเลี้ยวไม่กระพริบและสตาร์ทรถไม่ได้ อาจเกิดจากถ่านรีโมทหมด แก้ด้วยการเปลี่ยนถ่านรีโมท บิดกุญแจไปที่สวิตช์ ON และกดรีเซ็ตค้างไว้ จนสัญญาณกันขโมยหยุดร้อง

3. กดรีโมทแล้วไฟเลี้ยวกระพริบ แต่สตาร์ทรถไม่ติด
สาเหตุนี้อาจเกิดจากเครื่องยนต์มีปัญหา แก้ไขด้วยการนำรถเข้าเช็กเครื่องยนต์ใหม่ก่อนสตาร์ทอีกครั้ง

4.กดรีโมทแล้วไฟเลี้ยวกระพริบแต่ประตูไม่ปลดล็อก
สาเหตุนี้ อาจเกิดจากมอเตอร์ที่ควบคุมการเปิด ปิดประตูมีปัญหา แนะนำให้นำรถเข้าตรวจเช็กที่ศูนย์บริการโดยตรง

5. กดรีโมทล็อกรถแล้วสัญญาณกันขโมยยังดังอยู่
อาจเกิดจากปิดประตูไม่สนิท แก้ไขง่ายๆด้วยการตรวจดูประตูทุกบานและปิดให้สนิท ก่อนกดล็อกด้วยรีโมท

สิ่งที่ทำให้กุญแจรีโมททำงานผิดปกติหรือมีปัญหา ส่วนมากมี 2 สาเหตุหลัก ๆ คือเกิดจากตัวเครื่องยนต์หรือเกิดจากตัวรีโมทรถ หากเกิดปัญหาจึงต้องเช็กทั้งที่ตัวเครื่องยนต์ และตรวจสอบดูว่ารีโมทรถถ่านหมดหรือเกิดขัดข้องหรือไม่