เรื่อง

engine-oil_thumbnail
วิธีสังเกตง่ายๆว่า น้ำมันเครื่อง เริ่มหมดสภาพแล้วหรือยัง
engine-oil_thumbnail

วิธีสังเกตง่ายๆว่า น้ำมันเครื่อง รถเริ่มหมดสภาพแล้ว

วิธีสังเกตง่ายๆว่า น้ำมันเครื่อง รถเริ่มหมดสภาพแล้ว

น้ำมันเครื่อง รถยนต์ช่วยให้รถยนต์ประหยัดเชื้อเพลิงเกิดการเผาไหม้ที่หมดจด ป้องกันการสึกหรอและช่วยถนอมเครื่อง และน้ำมันเครื่องแต่ละประเภทถูกออกแบบมาเพื่อแต่ละรุ่นโดยเฉพาะ เพื่อให้การทำงานของเครื่องยนต์เต็มประสิทธิภาพ ดังนั้นผู้ใช้ควรรเลือกใช้เกรดน้ำมันที่ดีและเหมาะสมตรงตามรุ่นรถหรือตามคู่มือการใช้รถนะครับ

การเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องทุกครั้งจะมีการจดบันทึกวันที่ เดือน ปี และเลขกิโลเมตร ไว้ทุกครั้งเพื่อใช้ คำนวณกำหนดการเปลี่ยนถ่าย นอกจากนี้ยังสามารถสังเกตได้เองจากอาการต่างๆ ของเครื่องยนต์

ผู้ใช้รถสามารถสังเกตอาการเบื้องต้นง่ายๆว่าน้ำมันเครื่องรถยนต์เราเริ่มหมดสภาพ ดังนี้

  1. เสียงเครื่องยนต์ดังขึ้น
  2. อัตราเร่งแย่ลง อืดลงอย่างต่อเนื่อง
  3. สีของน้ำมันเครื่องเปลี่ยนไป
  4. กินน้ำมันเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้น
  5. น้ำมันเครื่องมีลักษณะข้นขึ้น หรือใสขึ้น
  6. รถที่ไม่ค่อยได้ใช้งานหรือจอดทิ้งไว้นานๆ ก็ทำให้น้ำมันเครื่องเสื่อมสภาพได้เหมือนกัน
  7. การขับขี่ในเมืองที่มีการจราจรหนาแน่น มีผลต่อการ เสื่อมคุณภาพของน้ำมันเครื่องได้เร็วกว่าปกติ

ข้อดีของการใช้น้ำมันเครื่องโตโยต้าแท้

  1. เกรดน้ำมันถูกออกแบบมาเพื่อรถ Toyota โดยเฉพาะ ให้การทำงานของเครื่องยนต์เต็มประสิทธิภาพ
  2. เครื่องยนต์ทำงานเต็มประสิทธิภาพตลอดเวลา
  3. ผ่านการทดสอบโดยวิศวกรที่ออกแบบเครื่องยนต์
  4. รับประกันงานบำรุงรักษา 1 ปี หรือ 20,000 km.

ขอขอบคุณข้อมูลจาก https://www.toyota.co.th


นัดหมายเช็กระยะ


 

ใส้กรองแอร์ Toyota Air Care

ไส้กรองแอร์ มีความสำคัญอย่างไร?.

ใส้กรองแอร์ Toyota Air Care

ไส้กรองแอร์ มีความสำคัญอย่างไร?.

ปัจจุบันการใช้ชีวิตคนในเมื่องกรุงฯ หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องเผชิญกับมลพิษทางอากาศ ทั้งฝุ่นละอองที่มีขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5) เป็นฝุ่นที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางไม่เกิน 2.5 ไมครอน ซึ่งปัจจุบันมีค่าเกินมาตรฐาน เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ซึ่งหลายท่านใช้เวลาอยู่ในรถบนท้องถนนเป็นเวลานานแล้ว ยิ่งมีความเสี่ยงสูงที่จะมีผลกระทบต่อสุขภาพด้วย การป้องกันเบื้องต้น หากออกนอกบ้าน นอกอาคาร หรืออยู่ตามท้องถนน ก็ควรสวมหน้ากากอนามัย หรือ Mask ที่มีค่าป้องกันฝุ่น PM 2.5 ด้วย

หรือบางท่านใช้เวลาอยู่บนรถยนต์นานๆ หากรถยนต์คันไหนไม่มีไส้กรองแอร์ ก็อาจจะมีความเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดโรคทางเดินหายใจได้เช่นกัน และจะทำให้แอร์รถยนต์เต็มไปด้วยเศษละอองฝุ่น หรือสิ่งสกปรกต่างๆ เป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบกับระบบการทำงานของแอร์รถยนต์ และเป็นแหล่งสะสมของเชื่อลา มีกลิ่นเหม็นอับ หรือกลิ่นไม่พึงประสงค์

ปัญหาที่เกิดจากการไม่มี ไส้กรองแอร์

  • สิ่งสกปรกต่างๆจะเข้าไปอุดดันบริเวณ คอยล์เย็นของแอร์ ทำให้แรงลมที่พัดลมของแอร์พัดมายังห้องผู้โดยสารเบา เพราะมีสิ่งสกปรกเข้าไปอุดดันคอยล์แอร์จำนวนมาก ซึ่งแอร์รถยนต์จะมีระบบการทำงานโดยให้พัดลมเป่าเอาอากาศไปที่คอยล์เย็น เพื่อทำให้ลมเป็นตัวนำความเย็นไปสู่ห้องผู้โดยสารนั้นเองครับ หรือมีรถบางรุ่นบางยี่ห้อมีระบบ การทำงานต่างจากนี้คือใช้ตัวพัดลมดูดความเย็นส่งไปยังห้องผู้โดยสาร ซึ่งระบบนี้ใช้ไปนานๆ จะมีพวกฝุ่นระออง หรือขนสัตว์ต่างๆหลุดเข้าไปติดที่คอยล์เย็น เป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคภูมิแพ้ได้ง่ายๆ
  • ทำให้ห้องผู้โดยสารไม่เย็นหรือความเย็นไม่ทั่วถึง และเป็นสาเหตุให้แอร์ทำงานหนัก หากความเย็นส่งไปไม่ทั่วถึงบริเวณห้องของผู้โดยสาร ทำให้เราต้องมีการปรับ/เร่งแอร์ให้แรง ทำให้ระบบการทำงานของแอร์ทำงานหนักมากขึ้น ซึ่งผลให้ลดอายุการใช้งานของอุปกรณ์ของแอร์ลงด้วย
  • เพิ่มค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา แน่นอนว่าหากแอร์รถยนต์เรามีปัญหาหรือไม่มีความเย็น เราก็ต้องนำรถเข้าศูนย์บริการ หรือร้าน เพื่อตรวจเช็ค-เติมน้ำยาแอร์ หรือบางรายถึงขั้นล้างแอร์รถเลย แน่นอนก็ต้องมีค่าใช้จ่ายเกิดขึ้นทั้งนั้น จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับอาการด้วยครับ

ประโยชน์และความสำคัญของ ไส้กรองแอร์

  • ช่วยยืดอายุการใช้งานของคอยล์เย็น ไม่ให้แอร์ตันจากฝุ่นละออง
  • กรองฝุ่นละออง และสิ่งสกปรกอันเป็นปัจจัยของการเกิดเชื้อโรคต่างๆ
  • ช่วยให้อากาศในรถสะอาดสดชืนลดปัญหาภูมิแพ้
  • เพิ่มประสิทธิภาพการทำความเย็นของระบบแอร์รถยนต์

ดังนั้นรถยนต์ของเราจึ่งต้องมีไส้กรองแอร์ และควรใช้ไส้กรองแอร์ที่มีคุณภาพ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของระบบปรับอากาศของรถยนต์ หรือหลีกเลี่ยงการติดเชื่อโรคทางเดินหายใจ และเพื่อสุขภาพที่ดีของเราด้วยนะครับ

ด้วยความปรารถนาดีจาก ศูนย์โตโยต้า กรุงไทย


นัดหมายเช็กระยะ หรือเปลี่ยนไส้กรองแอร์ ได้ที่นี่  นัดหมายเช็กระยะ / เปลี่ยนไส้กรองแอร์


air-care-thumbnail

กี่ปีหรือกี่กิโลฯ ถึงควรจะล้างแอร์รถยนต์ ?..

กี่ปีหรือกี่กิโลฯ ถึงควรจะล้างแอร์รถยนต์?..

สำหรับคนที่ดูแลรักษารถอยู่เป็นประจำอยู่แล้วก็คงตอบได้ไม่อยาก แต่สำหรับท่านที่ไม่รู้เรื่องรถยนต์อะไรเลย อาจจะไม่รู้เลยว่ารถกี่ปีหรือวิ่งไปได้กี่ กม. แล้วควรต้องล้างแอร์วันนี้เรามีคำตอบครับ เราควรล้างแอร์รถยนต์ อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง หรือ ทุกๆ 20,000 กม.  นะครับ

บางท่านซื้อรถมาหลายปีอาจจะไม่เคยทำอะไรเลยเกี่ยวกับแอร์เลย (ก็ไม่เห็นจะมีปัญหาอะไรเลยนี้) แต่ถ้ามีปัญหาละฯ อย่างเช่น แอร์ไม่เย็น หรือเย็นเฉพาะตอนเปิดใหม่ๆ เกิดจากหลายสาเหตุด้วยกัน อาทิเช่น น้ำยาแอร์ขาด ตู้แอร์อาจจะรั่ว และระบบแผงระบายความร้อนหรือพัดลมหน้าแผงคอยล์ไม่ทำงาน เป็นต้น ทั้งนี้ทั้งนั้น ควรนำรถเข้าศูนย์บริการเพื่อตรวจเช็คและทำการแก้ไขปัญหาได้ตรงจุดนะครับ หรือถ้าแอร์รถยนต์มีกลิ่นเหม็นอับ หรือกลิ่นไม่พึงประสงค์ วิธีแก้ไขเบื้องต้น เมื่อมีการใช้งานรถยนต์ หรือก่อนจะเปิดแอร์ให้ปิดตัวทำความเย็น และโดยให้เปิดแต่พัดลมไว้ ซัก 3-5 นาที ก่อนดับเครื่องยนต์หรือปิดแอร์ เพื่อไล่ความชื่นและเชื่อราออก ทำอย่างนี้ประจำจะช่วยให้กลิ่นหายได้ หรือถ้าไม่หายมีกลิ่นและไม่ทันใจละ คงต้องแนะนำให้ล้างแอร์รถยนต์ครับ

ทำไมต้องควรล้างแอร์รถยนต์ละ ?.

ตู้แอร์ยังเป็นแหล่งสะสมของเชื่อโรค เช่น เชื้อรา เชื้อแบคทีเรีย ซึ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสาเหตุให้แอร์ในรถยนต์สกปรก มีกลิ่นเหม็นอับชื่น หรือมีกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ ยังเป็นสาเหตุทำให้อุปกรณ์ของแอร์รถยนต์เรามีอายุการใช้งานสั้นลง รวมถึงสามารถทำให้เกิดโรคภูมิแพ้อากาศได้

aircare-1

บริการรวดเร็ว ไม่เสียเวลาเพิ่ม เมื่อเทียบกับบริการล้างตู้แอร์แบบเดิม

aircare-2

เพิ่มประสิทธิภาพการทำความเย็นของระบบแอร์รถยนต์

aircare-3

ช่วยยืดอายุการทำงานของระบบแอร์รถยนต์

aircare-4

ช่วยให้อากาศในรถสะอาดสดชืนลดปัญหาภูมิแพ้

detail-aircare-1

น้ำยาและเครื่องมือได้รับการรับรองมาตรฐานโตโยต้า

detail-aircare-2

รวดเร็วและประหยัดเวลาเพราะให้บริการพร้อมกับงานเช็กระยะ

detail-aircare-3

ดำเนินงานโดยช่างเทคนิคซึ่งผ่านมาตรฐานโตโยต้า

detail-aircare-4

รับประกันงานซ่อม 1 ปี หรือ20,000 กิโลเมตร

ขอขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย

การเติมลมยาง

การเติมลมยางให้เหมาะสมกับประเภทใช้งาน

การเติมลมยางให้เหมาะสมกับประเภทใช้งาน

การเติมลมยางรถยนต์ มีความสำคัญอย่างไร ทำไมถึงต้องให้ความสำคัญกับการเติมลมยางขนาดนั้น นั้นก็เพราะ ยางรถยนต์เป็นส่วน แบกรับน้ำหนักทั้งหมด จึงเป็นสาเหตุที่ต้องคอยดูแลยางรถยนต์อย่างสม่ำเสมอ อย่าให้ลมยางรถยนต์อ่อนหรือแข็งมากเกินไป  ซึ่งการเติมลมยางที่อ่อนกว่ามาตรฐาน จะทำให้อายุการใช้งานสั้นลง และจะส่งผลกระทบต่อไหล่ยาง จะให้เกิดความร้อนสูง และก็จะสึกหรอเร็วกว่าส่วนอื่นๆ จะทำให้ยางของเราไหม้ได้ หรือบริเวณแก้มยางฉีกขาดได้ด้วย และทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันด้วย และหากเติมลมยางเกินมาตรฐานมากเกินไป ก็จะทำให้พื้นที่สัมพันธ์ของหน้ายางกับพื้นถนนั้นลดลง ทำให้เกิดการลื่นไถลได้ง่าย เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ และอาจจะทำให้ยางเกิดการระเบิดได้ง่าย เมื่อได้รับแรงกระแทกหรือถูกของมีคม นอกจากนั้นก็จะส่งผลต่อการขับขี่ ที่ทำให้ความนุ่มนวลในการขับขี่ลดลง หากเราไม่ทราบว่าจะเติมเท่าไหร่ดี สามารถดูได้จากสติ๊กเกอร์ที่ติดอยู่ด้านข้างประตู หรือในสมุดคู่มือรถยนต์ได้นะครับ

การเติมลมยางแบบมีเกจ์วัด

และทำไมเราถึงต้องเติมลมยางให้เหมาะสมกับรถแต่ละประเภทละ ?

     นั่นก็เพราะรถแต่ละประเภท มีขนาดยางไม่เท่ากัน ทั้งการใช้งานที่แตกต่างกัน การรับน้ำหนักก็ต่างกันของรถแต่ละประเภท ซึ่งมาตรฐาน การเติมลมยางรถยนต์ ก็จะแตกต่างกันไป โดยทางโรงงานผู้ผลิตจึงได้กำหนดการเติมลมยางรถออกมาเพื่อให้เหมาะสมกับการใช้งานของรถในแต่ละประเภท ดังนั้นเราลองมาดูกันว่า รถประเภทไหนควรเติมลมยางเท่าไหร่

วิธีการเติมลมยางที่เหมาะสมของรถยนต์แต่ละประเภท ดังนี้

  1. สำหรับการเติมลมยางรถกระบะ 2 ประตู และ 4 ประตู และรถ SUV (รถยนต์นั่งอเนกประสงค์) ให้เหมาะสมนั้น ซึ่งตามมาตรฐานแล้วควรจะเติมลมยางได้สูงสุดไม่เกิน 65 ปอนด์/ตารางนิ้ว
  2. รถเก๋งที่มีขนาดกลาง-ใหญ่ หรือรถเก๋งที่มีขนาดเครื่องยนต์ที่อยู่ในระดับ 1500 cc ขึ้นไป ความดันลมยางที่เหมาะสมอยู่ที่ประมาณ 30 – 35 ปอนด์ / ตารางนิ้ว
  3. รถเก๋งที่มีขนาดเล็ก ก็คือรถเก๋งที่มีขนาดเครื่องยนต์น้อยกว่าหรือเท่ากับ 1500 cc ซึ่งความดันลมยางที่เหมาะสม จะอยู่ที่ประมาณ 25 – 30 ปอนด์ / ตารางนิ้ว

     ทั้งนี้การเติมลมยางให้เหมาะสมกับประเภทและการใช้งานของรถยนต์นั้น ถือได้ว่าเป็นการยืดอายุการใช้งานของรถยนต์และยางรถยนต์ได้อีกทาง และยังช่วยให้รถยนต์เราประหยัดน้ำมัน พร้อมทั้งยังช่วยสร้างความปลอดภัยในการขับขี่อีกด้วยนะครับ

7 สิ่งที่ต้องเปลี่ยนเพื่อยืดอายุการใช้งานของรถ

7 สิ่งที่ต้องเปลี่ยนเพื่อยืดอายุการใช้งานของรถยนต์

7 สิ่งที่ต้องเปลี่ยน เพื่อยืดอายุการใช้งานของรถยน7 สิ่งที่ต้องเปลี่ยน เพื่อยืดอายุการใช้งานของรถยนต์

1. น้ำมันเครื่องรถยนต์ : น้ำมันเครื่องเป็นสิ่งจำเป็นอย่างแรกเลยสำหรับรถยนต์ที่จะต้องได้รับการดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างมาก เนื่องมาจากในชีวิตประจำวันยิ่งเราใช้งานรถยนต์บ่อยขึ้นเท่าไหร่ ก็ต้องขยันเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องรถยนต์มากขึ้นตามไปด้วยครับ ซึ่งตามอายุการใช้งาน เราควรจะเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องรถยนต์ตั้งแต่รถมีระยะการใช้งาน 5,000 ถึง 10,000 กิโลเมตรครับ

2. ไส้กรองน้ำมันเครื่อง : ผลพวงจากการใช้งานรถยนต์มาอย่างต่อเนื่องนั่นแหละครับ ที่จะทำให้รถของเราเสื่อมสภาพเร็วกว่ากำหนด ไส้กรองน้ำมันเครื่องก็เป็นส่วนสำคัญที่มีหน้าที่ในการกรองสิ่งสกปรกที่อาจจะหลุดเข้าไปในตัวเครื่องยนต์ของท่านได้ ซึ่งเราควรจะเปลี่ยนไส้กรองน้ำมันเครื่อง ตั้งแต่รถมีระยะการใช้งาน 5,000 ถึง 10,000 กิโลเมตรเช่นกัน

3. ไส้กรองอากาศรถยนต์ : สำหรับไส้กรองอากาศรถยนต์ สิ่งนี้เป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยกรองอากาศที่จะเข้าสู่ห้องโดยสาร และยังเป็นส่วนที่ทำให้เกิดปัญหาต่อเครื่องยนต์ด้วยครับ โดยอาการที่เราจะสังเกตเห็นได้ชัดเลยก็คือ เครื่องยนต์มีอัตรากำลังเร่งแผ่วลง, เครื่องยนต์มีอาการสั่น, อัตราการกินน้ำมันเชื้อเพลิงเปลืองมากกว่าปกติ และ ควันไอเสียมีสีดำเข้มขณะเร่งเครื่องยนต์

4. ผ้าเบรกรถยนต์ : ในส่วนของผ้าเบรกรถยนต์นั้น เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องดูแลเป็นอย่างยิ่ง เพราะนั่นคือความปลอดภัยของการขับขี่รถยนต์เลยก็ว่าได้ ผ้าเบรกรถยนต์ที่เสื่อมสภาพ มักจะเป็นส่วนเหล็กตรงก้ามเบรกที่เสียดสีกับจานเบรกทำให้จานเบรกเป็นรอย และอาจทำให้จานเบรกแตกหักได้ในอนาคต ดังนั้น ผ้าเบรกรถยนต์ เป็นสิ่งที่ต้องดูแลตามระยะการใช้งาน แนะนำว่าถ้าท่านใช้รถเป็นประจำ ก็ควรที่จะนำรถยนต์ของท่านเข้าเข้าเช็คระยะกับศูนย์บริการและอะไหล่อยู่เสมอ

5. แบตเตอรี่รถยนต์ : ตามอายุการใช้งานแล้ว แบตเตอรี่รถยนต์ ก็เป็นส่วนสำคัญที่ละเลยไม่ได้เลยทีเดียว ในระยะ 1-2 ปี ก็ควรที่จะเปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่ได้แล้ว เพื่อประสิทธิภาพในการใช้งาน และดูแลรักษารถของคุณ 

6. ยางปัดน้ำฝน : วิสัยทัศน์ในการมองเห็นก็เป็นปัจจัยสำคัญต่อการขับขี่ เมื่อยางปัดน้ำฝนมีปัญหาท่านไม่ควรที่จะละเลยการตรวจเช็ค และควรเปลี่ยนยางปัดน้ำฝนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งานและเพิ่มวิสัยทัศน์ในการมองเห็นให้ดีขึ้น และตัวทำร้ายยางปัดน้ำฝนของเราอย่างเลี่ยงไม่ได้ก็คือ แสงแดด ที่ส่องลงมาที่กระจก ความร้อนของแดดจะทำให้ตัวยางปัดน้ำฝนนั้นเสื่อมสภาพในการใช้งานได้ รู้แบบนี้แล้วต้องรีบกลับไปเช็ครถของคุณแล้วหล่ะครับ

7. หัวเทียนรถยนต์ : และสุดท้ายหัวเทียนรถยนต์ สำคัญเป็นอย่างมาก เพื่อป้องกันในส่วนของระบบการสตาร์ทของเครื่องยนต์มีปัญหา หัวเทียนรถยนต์ควรเปลี่ยนทุกๆ 40,000 กิโลเมตร หรือทุก 1 ปี 

       ทั้งหมดที่ได้เกริ่นมาข้างบนนี้ หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์ต่อท่านไม่น้อยเลยทีเดียว 7 สิ่งที่ต้องเปลี่ยนเพื่อยืดอายุการใช้งานของรถ เพื่อที่ท่านจะได้ถนอมอายุการใช้งานของเครื่องยนต์ให้อยู่กับท่านได้นานขึ้นไปครับ ท่านสามารถเข้ารับบริการต่างๆของเราได้ที่ โตโยต้า กรุงไทย ทั้ง 3 สาขา ดังนี้ สาขารามอินทรา, สาขาเกษตร และ สาขาตลิ่งชัน หรือ Call Center 02-510-9999 กด 9  นอกจากนี้ทางเรายังมีบริการ ศูนย์ซ่อมตัวถังและสี, ศูนย์บริการและอะไหล่ ไว้บริการท่านอีกด้วย
โตโยต้า กรุงไทย เรายินดีให้บริการอย่างเต็มความสามารถในทุกสาขา 
แล้วพบกันใหม่ในบทความหน้า สวัสดีครับ



ติดตามข่าวสาร โปรโมชั่นดีๆ และความเคลื่อนไหวของเรา

โตโยต้า กรุงไทย ได้ที่

youtube_logo  facebook icon  line icon  google plus icon  twitter icon


แชร์บทความ