เรื่อง

ควรเลือกแบตเตอรี่รถยนต์แบบไหน ให้เหมาะสมกับการใช้งาน

แบตเตอรี่ ถือเป็นอุปกรณ์ที่สำคัญมากสำหรับรถยนต์ทุกคัน เพราะมันคือแหล่งพลังงานแรกที่จะเอาไว้สตาร์ทเครื่องยนต์ให้ติดและพร้อมเดินทางได้ และมีอายุการใช้งาน เมื่อแบตหมดก็ต้องเปลี่ยนใหม่ 

 ปัจจุบันด้วยเทคโนโลยีที่มีความทันสมัยมากขึ้น แบตเตอรี่รถยนต์จึงถูกผลิตออกมาหลากหลายประเภท แต่ละประเภทมีข้อดี-ข้อเสียอะไรบ้าง

  1. แบตเตอรี่แบบน้ำ หรือ แบตเตอรี่ธรรมดา คือแบตเตอรี่ที่หลายคนคุ้นเคยดีเป็นที่นิยมใช้มากที่สุด ราคาถูกสุด แต่ก่อนใช้งานต้องมีการเติมน้ำกรดลงไป แล้วชาร์จไฟเข้าไปก่อนการใช้งาน การเลือกใช้แบตเตอรี่ประเภทนี้ต้องดูแลเติมน้ำกลั่นอย่างสม่ำเสมอ 

      ข้อดี : มีความทนทานต่อการปะจุไฟเกินและคายประจุ มีอายุที่ใช้งานค่อนข้างนานและราคาถูก

      ข้อเสีย : ต้องคอยตรวจสอบระดับน้ำกลั่นก่อนการใช้งานอยู่เสมอ อาจจะสัปดาห์ละครั้งขึ้นอยู่กับการใช้งาน และหากมีการเคลื่อนย้ายตัวแบตเตอรี่ต้องระมัดระวังสารละลายที่อาจรั่วไหลออกมาได้

  1. แบตเตอรี่แบบแห้ง คือแบตเตอรี่ที่ได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน เนื่องจากไม่จำเป็นต้องดูแลอะไรเลย ไม่ต้องคอยเติมน้ำกลั่น สามารถปล่อยทิ้งไว้ในสภาพที่ไม่มีประจุไฟได้นานกว่าแบตเตอรี่แบบน้ำ ไม่ต้องชาร์จไฟเพื่อกระตุ้นแบตเตอรี่

      ข้อดี : เหมาะกับคนในยุคปัจจุบันที่ไม่ค่อยมีเวลาในการดูแลรถยนต์ ไม่ต้องเช็กบ่อยๆ ไม่ต้องเติมน้ำกลั่น แบตไม่หมดแม้จะไม่ได้ใช้รถเป็นเวลานาน

      ข้อเสีย : มีราคาค่อนข้างสูงกว่าแบตเตอรี่แบบน้ำ และ แบตเตอรี่กึ่งแห้ง และตัวแบตฯมีรูระบายอากาศค่อนข้างเล็ก อาจอุดตันง่าย ส่งผลให้เกิดแรงดันภายในแบตเตอรี่ได้

  1. แบตเตอรี่แบบกึ่งแห้ง หรือ แบต MF คือแบตเตอรี่ที่ยังมีรูให้สามารถเติมน้ำกลั่นได้ เป็นแบตฯที่ยังต้องดูแลอยู่เสมอ อาจไม่บ่อยเท่าแบตเตอรี่แบบน้ำ โดยหมั่นตรวจสอบระดับน้ำกลั่นปีละ 1-2 ครั้งเท่านั้น เนื่องจากน้ำกรดในแบตเตอรี่กึ่งแห้งนั้นมีความเข้มข้นกว่าแบตเตอรี่แบบน้ำ ทำให้ระเหยได้ช้ากว่า

      ข้อดี : ไม่ต้องเช็กหรือเติมน้ำกลั่นบ่อยเหมือนแบตเตอรี่แบบน้ำ เพราะภายในมีการป้องกันการระเหยของน้ำกลั่นที่แน่นหนาพอสมควร

      ข้อเสีย : ถึงแม้จะไม่ต้องเติมน้ำกลั่นบ่อย แต่ก็ต้องหมั่นตรวจเช็กอยู่เสมอ อายุการใช้งานอาจไม่นานเท่าแบตเตอรี่แบบน้ำ

  1. แบตเตอรี่ไฮบริด คือแบตเตอรี่ที่ได้รับการพัฒนามาจากแบตเตอรี่แบบน้ำ ภายในประกอบด้วยโลหะผสมระหว่างตะกั่วกับแคลเซียม แบตฯประเภทนี้จะมีอัตราการระเหยของน้ำกลั่นน้อยกว่าแบตเตอรี่รุ่นธรรมดามาก แบตเตอรี่ไฮบริดมักใช้กับรถที่ใช้งานหนักๆ เช่น รถบรรทุก รถโดยสาร หรือ รถรับจ้าง เป็นต้น

      ข้อดี : มีการระเหยของน้ำกลั่นน้อยกว่าแบตเตอรี่รุ่นธรรมดามาก ทำให้สามารถใช้งานได้อย่างยาวนาน

      ข้อเสีย : มีราคาที่สูงมาก มักใช้กับรถขนาดใหญ่

      การเลือกแบตเตอรี่รถยนต์ให้เหมาะสม ควรขึ้นอยู่กับการใช้งานของผู้ใช้รถ เช่น หากต้องการแบตเตอรี่ที่ทนทาน ราคาถูก แบตเตอรี่แบบน้ำตอบโจทย์ที่สุด  ส่วนผู้ใช้รถที่ไม่ค่อยมีเวลามาเช็กบ่อยๆ ไม่เกี่ยงราคา ก็เหมาะกับแบเตอรี่แบบแห้งเพราะไม่ต้องเติมน้ำกลั่น ไฟไม่หมดแม้ไม่ค่อยได้ใช้รถ อาจต้องเสียเงินมากขึ้นเพื่อแลกกับความสะดวกสบาย

 

เกิดเหตุฉุกเฉิน รถยางแตกกลางทาง ควรทำอย่างไร

รถยนต์ยางแตกเป็นเหตุฉุกเฉินที่ผู้ขับขี่ทุกคนไม่ทันได้ตั้งตัวแน่นอน อาจทำให้ผู้ขับขี่เกิดอาการตกใจ ควบคุมสถานการณ์ได้ยากลำบากและอาจเกิดเป็นอุบัติเหตุอื่นๆตามมาได้  

รถยางแตกเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นยางเสื่อมสภาพ ยางหมดอายุการใช้งาน มีรอยปริแตก ฉีกขาด เกิดจากการบรรทุกของหนักเกินไป ขนาดยางที่ไม่พอดี ใช้ยางกับรถผิดประเภท หรือเหยียบของมีคมโดยไม่รู้ตัว 

ผู้ขับขี่ควรทำการป้องกันไม่ให้เกิดปัญหายางแตกเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ดังนั้นผู้ขับขี่ควรสังเกตอาการเบื้องต้นของรถก่อนยางระเบิด อาทิเช่น เกิดอาการสั่นสะเทือนโดยไม่ทราบสาเหตุ รถเริ่มบังคับได้ยากโดยเฉพาะจังหวะเลี้ยว อาการเหล่านี้บ่งบอกว่ายางรถกำลังร้อนจัด และเริ่มบวมออกมา หากรถมีอาการดังกล่าวควรรีบหยุดรถและตรวจเช็คทันที 

วิธีรับมือกับเหตุฉุกเฉิน รถยางแตกกลางทาง ควรทำอย่างไร

– หากยางแตกกลางทางโดยไม่ทันตั้งตัว สิ่งแรกที่ต้องทำคือตั้งสติ จับพวงมาลัยให้มั่นคงไว้ ห้ามดึงเบรกมือ เพราะจะทำให้รถหมุนเคว้งได้

– อย่าเหยียบเบรกกะทันหันเด็ดขาด ให้แตะเบรกเบาๆ และเปิดไฟฉุกเฉินเป็นสัญญาณเตือนรถที่มาข้างหลัง ว่ารถของเรากำลังมีปัญหา

– ประครองรถจนความเร็วลดลงในระดับที่ปลอดภัย และเข้าจอดข้างทาง

– เมื่อรถจอดในที่ปลอดภัยแล้ว ให้พิจารณาว่าควรเปลี่ยนยางอะไหล่เอง หรือโทรเรียกช่างมาดำเนินการให้ 

ยางแตกกลางทางอาจฟังดูน่ากลัว แต่ถ้ารับมือได้อย่างมีสติ ก็จะช่วยให้รอดพ้นจากสถานการณ์ฉุกเฉินนี้ไปได้แน่นอน อย่างไรก็ตามการป้องกันไว้ก่อนย่อมดีกว่า ผู้ขับขี่ควรศึกษาวิธีการเปลี่ยนยางอะไหล่ และมีอุปกรณ์ซ่อมแซมกรณีฉุกเฉินติดรถไว้เสมอ

 

ลบโลโก้ฟิล์มกรองแสง

ลบโลโก้ฟิล์มกรองแสง ได้อย่างไร

ลบโลโก้ฟิล์มกรองแสงได้หรือไม่ลบได้อย่างไร

วิธีง่ายๆในการลบโลโก้ฟิล์มกรองแสง  ฟิล์มกรองแสงรุ่นใหม่ๆจะมีโลโก้ที่บ่งบอกถึงยี่ห้อฟิล์มของแต่ละรุ่นติดมาด้วย ซึ่งบางคนอาจจะไม่ชอบหรือโลโก้อาจจะอยู่ในตำแหน่งที่บดบังทัศนวิสัย  ก่อให้เกิดความรำคาญใจอยู่ไม่น้อย วันนี้จึงมีวิธีลบโลโก้แบบง่ายๆมาฝากกัน


วิธีลบโลโก้ฟิล์มกรองแสงและสิ่งที่ต้องใช้มีง่ายๆดังนี้
เตรียมน้ำยาล้างเล็บหรือแอลกอฮอล์ล้างแผล(ในกรณีที่ไม่มีน้ำยาลบโลโก้โดยตรง)
ใช้สำลีชุบน้ำยาล้างเล็บหรือแอลกอฮอล์แล้วทำการเช็ดออก โดยเช็ดจากด้านในของตัวรถ เพราะฟิล์มจะติดตั้งจากด้านในของตัวรถ แค่นี้ก็สามารถลบโลโก้ฟิล์มได้แล้ว

อย่างไรก็ตามแนะนำว่าควรเหลือโลโก้ฟิล์มกรองแสงไว้อย่างน้อย 1 จุด เพื่อใช้ในการทำเคลมประกันในกรณีที่ฟิล์มมีปัญหา จะได้ทราบว่าฟิล์มของเดิมเป็นรุ่นไหนยี่ห้ออะไร

ข้อควรระวังในการลบโลโก้ฟิล์มกรองแสง
1.ห้ามลบโลโก้จนหมดทุกจุดควรเหลือไว้1จุด
2.ในกรณีที่เปลี่ยนฟิล์มกรองแสงใหม่ ควรทิ้งรถไว้ 3 วันก่อน เพื่อให้ฟิล์มเซตตัวได้เต็มที่และไม่เกิดปัญหาตามมาทีหลัง

มันง่ายมากๆเลยใช่ไหม อย่างไรก็ควรทำด้วยความระมัดระวังกันด้วยนะครับ

 

สิ่งต้องห้าม ถ้าไม่อยากให้แอร์รถพัง

ห้ามทำสิ่งเหล่านี้ ถ้าไม่อยากให้แอร์รถพัง

ด้วยสภาพอากาศของบ้านเรา ส่วนมากก็คือร้อนกับร้อนมากแอร์จึงเป็นสิ่งสำคัญมากในชีวิตประจำวันและแอร์รถจึงสำคัญมากในทุกการเดินทาง แล้วถ้าแอร์เสียหรือมีปัญหาก็คงส่งผลทั้งร่างกายจิตใจคงทำให้หงุดหงิดอยู่ไม่น้อยจากความร้อน รวมไปถึงการเสียเวลาเสียเงินในการซ่อมอีกด้วย

แอร์รถยนต์

ถ้าไม่อยากให้แอร์พังอย่าทำสิ่งนี้

1.อย่าละเลยการล้างแอร์ ปัจจุบันการล้างแอร์รถยนต์ทำได้ทั้งแบบถอดตู้แอร์ ซึ่งเป็นวิธีแบบเดิมที่ทำมายาวนาน และแบบไม่ถอดตู้แอร์โดยการส่องกล้องและใช้หัวฉีดน้ำแรงดันสูงเพื่อทำความสะอาดแผงคอยล์เย็นภายในตู้แอร์

2.อย่าละเลยการเปลี่ยนไส้กรองแอร์ ซึ่งควรเปลี่ยนทุก 6 เดือน หรือทุก10,000-30,000 กิโลเมตร เพราะไส้กรองแอร์เป็นที่ดักจับฝุ่นและเป็นที่เก็บสะสมกลิ่นภายในรถ ถ้าไม่เปลี่ยนจะทำให้แผงแอร์สกปรกอุดตันและเกิดกลิ่นอับได้ง่าย

3.อย่านำการบูรหรือสารระเหยทิ้งไว้ในรถ เพราะจะเป็นตัวจับฝุ่น และความชื้น จะส่งผลให้เแอร์มีกลิ่นเหม็นอับและแผงแอร์อุดตันเร็วขึ้น

และยังเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรคและแบคทีเรียชั้นดี จนทำให้เกิดกลิ่นอับภายในรถนั่นเอง

4.อย่าปรับอุณหภูมิเย็นจนเกินไป เพราะจะทำให้เกิดความชื้นสะสมอยู่ในตู้แอร์ ซึ่งอาจก่อให้เกิดการอุดตันหรือเป็นสนิมได้และยังสิ้นเปลืองน้ำมันอีกด้วย

5.อย่าเปิดหน้าต่างแล้วเปิดแอร์ เพราะจะทำให้อากาศที่ร้อนจากข้างนอกเข้ามาและทำให้แอร์ทำงานหนักเกินไปจนพังได้

ควรดูแลบำรุงรักษาแอร์ตามระยะที่กำหนดหรือตามความเหมาะสมจากการใช้งานเพื่อยืดอายุการใช้งานและการทำงานให้ความเย็นของแอร์ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

 

รถเสียบนทางด่วน

รถเสียบนทางด่วน ควรทำอย่างไร

เมื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินรถเสียบนทางด่วน ควรทำอย่างไร

ปฏิเสธไม่ได้ว่าในปัจจุบันเราจำเป็นต้องใช้รถยนต์ในการเดินทางเกือบทุกวันหากเกิดเหตุฉุกเฉินบนทางด่วนไม่ว่าจะด้วยกรณีเกิดอุบัติเหตุ หรือ รถเสีย เราควรทำอย่างไร
เมื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน หรือเหตุไม่คาดคิดบนทางด่วนอาจทำให้คุณตกใจไม่น้อยและทำอะไรไม่ถูก สิ่งที่ควรทำอันดับแรกคือตั้งสติอย่าตกใจจนเกินไปแล้วปฏิบัติดังนี้
เปิดไฟฉุกเฉิน นำรถเข้าไหล่ทาง
ในกรณีรถยางแตกห้ามเหยียบเบรคให้รถหยุดในครั้งเดียวโดยเด็ดขาด แต่ให้ค่อยๆแตะเบรคและ ปล่อยไหลประคองรถเข้าข้างทางจนจอดสนิท

– โทรขอความช่วยเหลือที่เบอร์ 1543
หลังจากโทรขอความช่วยเหลือที่ศูนย์บริการข้อมูลผู้ใช้ทางพิเศษ (EXAT Call Center) เบอร์ 1543 (สามารถโทรได้ตลอด 24 ชั่วโมง) ควรนั่งอยู่ในรถและคาดเข็มขัดนิรภัยอยู่ตลอดเวลา เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุ และควรล็อกประตูไว้ด้วย

– วางเครื่องหมายให้เป็นจุดสังเกต
เพื่อเป็นสัญลักษ์ให้รถคันหลังที่ตามมาทราบจะได้ระวังไม่ทำให้เกิดอุบัติเหตุซ้ำ หากมีกรวยสีส้ม หรือป้ายสามเหลี่ยมสะท้อนแสง ให้วางไว้ด้านท้ายและด้านหน้าของรถ โดยเว้นระยะห่าง จากรถอย่างน้อย 30-50 เมตร

-เบอร์ที่ควรรู้เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินบนทางด่วน
การทางพิเศษแห่งประเทศไทย โทร. 1543

ทางหลวงและมอเตอร์เวย์ โทร.1586

โทลล์เวย์ โทร. 1233

ตำรวจทางหลวง โทร. 1193

โทรฉุกเฉิน

ในกรณีที่โทรศัพท์มือถือเสียหายใช้งานไม่ได้ บนทางด่วนจะมีโทรศัพท์ฉุกเฉินตั้งอยู่ทุกๆ 500–1,000 เมตร
ขอความช่วยเหลือโดยแจ้งสาเหตุ อาการของรถหรือสถานการณ์ที่เกิดขึ้น รวมถึงจุดที่นำรถเข้าจอดอย่างละเอียด รวมทั้งหากมีคนป่วยหรือบาดเจ็บ(ในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ)ควรแจ้งด้วย และหากต้องการรถลากควรเเจ้งเจ้าหน้าที่ด้วย