เรื่อง

สัญญาณเตือนที่แสดงให้รู้ว่า “ท่อไอเสีย”รถยนต์ของเรากำลังจะพัง

“ท่อไอเสีย” เป็นองค์ประกอบเล็กๆแต่มีความสำคัญมาก ถ้าการระบายไอเสียจากเครื่องยนต์ที่ผ่านทางท่อไอเสียมีการทำงานผิดปกติ ก็จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อระบบการทำงานของเครื่องยนต์ภายในรถอย่างแน่นอน

สัญญาณเตือนบ่งบอก ท่อไอเสียกำลังจะพัง

  1. ท่อไอเสียมีรอยแตก หรือมีสนิมจับ เกิดการชำรุดของท่อไอเสียที่สามารถมองเห็นได้ เมื่อสตาร์ทรถแล้วเห็นควันไม่ได้ออกจากปลายท่อ แต่มีการซึมออกตามกลางท่อ ต้องรีบนำรถเข้าศูนย์ตรวจเช็กทันที
  1. มีเสียงดังครืด..ครืดจากเครื่องยนต์ หากมีเสียงดังผิดปกติจากเครื่องยนต์แบบไม่มีสัญญาณเตือน แสดงว่าท่อไอเสียกำลังมีปัญหา สังเกตได้ง่ายๆหากต้องเปิดเพลงหรือวิทยุดังกว่าเดิมที่เคยฟัง แสดงว่าเครื่องยนต์เริ่มดังเกินไปแล้ว ควรรีบนำรถเข้าเช็กที่ศูนย์บริการ
  1. คันเร่งมีความผิดปกติ หากตอนเหยียบคันเร่งเกิดอาการสั่นของรถที่มากผิดปกติ สันนิษฐานได้ว่ามีบางส่วนของท่อไอเสียเกิดปัญหา ถ้าเป็นเสียงก้องในตอนที่สตาร์ท แสดงว่ามีรอยรั่วที่ใหญ่มากจนได้ยินมาถึงในห้องเครื่อง ต้องรีบนำเข้าศูนย์ตรวจเช็กทันที
  1. เกิดเสียงรั่ว ขณะที่เครื่องยนต์ทำงานเกิดมีเสี่ยงรั่วออกมา หมายความว่าเครื่องฟอกไอเสียเชิงเร่งปฏิกิริยา หรือแคทาลิติกคอนเวอร์เตอร์บนรถกำลังพัง รถสามารถใช้งานได้สักระยะ แต่ก็ควรนำรถเข้าตรวจเช็ก
  1. มีกลิ่นไหม้ในห้องโดยสาร แสดงว่าท่อไอเสียรั่วทำให้ก๊าซอาร์บอนมอนอกไซด์เข้ามาในห้องโดยสาร อาจส่งผลให้เกิดอาการมึนศีรษะ จนถึงขั้นหมดสติและอาจเกิดอันตรายต่อชีวิตได้
  1. ประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องยนต์แย่ลง เช่น การเดินทางระยะทางเท่าเดิม ความเร็วเท่าเดิม แต่รถยนต์กินน้ำมันมากขึ้นกว่าปกติ

เมื่อพบปัญหาท่อไอเสียทำงานผิดปกติ ควรนำรถเข้าศูนย์บริการเพื่อตรวจเช็ก อย่าปล่อยทิ้งไว้อาจทำให้เกิดปัญหากับเครื่องยนต์ได้

เติมน้ำมันผสมกันได้หรือไม่ จะมีปัญหาตามมาไหม

ปัจจุบันน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีจำหน่ายอยู่นั้นมีหลายชนิด โดยมีส่วนผสมและราคาแตกต่างกันไป หลายคนจึงอยากรู้ว่ารถของเรานั้นเติมน้ำมันชนิดไหนได้บ้าง เพราะบางครั้งสถานีบริการน้ำมันที่เราเข้าไปใช้บริการ อาจไม่มีน้ำมันที่เคยเติมประจำ แล้วจะเติมน้ำมันชนิดอื่นเข้าไปผสมได้หรือไม่ จะมีปัญหาตามมาไหม ก็คือสามารถเติมผสมได้ ขอแค่ให้เป็นน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีค่าออกเทนตามที่เครื่องยนต์รองรับเท่านั้น ซึ่งการเติมผสมระหว่าง แก๊สโซฮอล์ 95 กับแก๊สโซฮอล์ 91 หรือแก๊สโซฮอล์ 95 กับ แก๊สโซฮอล์ E20 ก็สามารถทำได้ ไม่ส่งผลให้เครื่องยนต์เสียหายอย่างแน่นอน

แต่ก็สามารถพบได้ในบางกรณีในรถบางรุ่นที่มีการระบุไว้อย่างชัดเจน ว่ารองรับน้ำมันที่มีค่าออกเทนตั้งแต่ 95 ขึ้นไปเท่านั้น ซึ่งก็คือไม่สามารถเติมแก๊สโซฮอล์ 91 ที่มีค่าออกเทนเพียง 91 ได้ รวมถึงแก๊สโซฮอล์ E85 ที่ไม่ใช่ว่ารถทุกคันจะสามารถเติมได้

อย่างไรก็ตามควรศึกษาคู่มือหรือรายละเอียดของรถยนต์ว่ารองรับน้ำมันเชื้อเพลิงแบบใด ชนิดใดได้บ้าง เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายกับเครื่องยนต์ของรถเราได้นั่นเอง

5 เทคนิคง่ายๆช่วยดูแลถนอมช่วงล่างให้หายห่วง

 

ช่วงล่างของรถทำหน้าที่รองรับน้ำหนักการบรรทุก และแรงสั่นสะเทือนเวลาขับขี่ รวมถึงเป็นตัวขับเคลื่อนในหลายๆอุปกรณ์ ให้รถยนต์สามารถเคลื่อนที่ไปข้างหน้า การบำรุงรักษาช่วงล่างจึงเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมาก

ขอแนะนำ 5 เทคนิคง่ายๆที่จะช่วยถนอมช่วงล่างของรถยนต์

  1. ในขณะขับขี่ให้สังเกตุพื้นผิวถนน หากมีความเสียหาย มีหลุม ขรุขระ ควรชะลอความเร็วในการขับขี่ ไม่ควรใช้ความเร็วเกินไป
  2. ไม่บรรทุกของหนักเกินจำเป็น ส่งผลต่อช่วงล่างและกลไกอื่นๆของรถ 
  3. หากต้องขับผ่านเส้นทางที่มีลูกระนาด หรือถนนลูกรัง หากรถบรรทุกหนัก ควรเหยียบเบรกเพื่อชะลอความเร็วก่อนที่จะถึงลูกระนาด และปล่อยเบรกขณะขึ้นลูกระนาด เพื่อลดแรงกระแทกต่อช่วงล่าง
  4. ควรเติมลมยางให้ได้ตามมาตรฐานเหมาะสมกับการใช้งาน หากลมยางแข็งเกินไปช่วงล่างจะรับแรงกระแทกเยอะ แต่หากลมยางอ่อนเกินไปจะทำให้ระบบการบังคับเลี้ยวทำงานหนักกว่าปกติ
  5. เข้าตรวจเช็กสภาพช่วงล่างตามระยะที่แนะนำ เพื่อให้รถพร้อมใช้งานอยู่เสมอ

หากปฏิบัติตามคำแนะนำก็จะช่วยยืดอายุการใช้งานช่วงล่างได้ หากพบความผิดปกติเวลาขับขี่ เช่น มีเสียงดังผิดปกติ รถไม่นิ่ง การควบคุมพวงมาลัยไม่เหมือนเดิม เป็นสัญญาณบอกว่าช่วงล่างอาจมีปัญหา ให้รีบนำรถเข้าตรวจเช็กที่ศูนย์บริการทันที

รถเสียบนทางด่วน

รถเสียบนทางด่วน ควรทำอย่างไร

เมื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินรถเสียบนทางด่วน ควรทำอย่างไร

ปฏิเสธไม่ได้ว่าในปัจจุบันเราจำเป็นต้องใช้รถยนต์ในการเดินทางเกือบทุกวันหากเกิดเหตุฉุกเฉินบนทางด่วนไม่ว่าจะด้วยกรณีเกิดอุบัติเหตุ หรือ รถเสีย เราควรทำอย่างไร
เมื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน หรือเหตุไม่คาดคิดบนทางด่วนอาจทำให้คุณตกใจไม่น้อยและทำอะไรไม่ถูก สิ่งที่ควรทำอันดับแรกคือตั้งสติอย่าตกใจจนเกินไปแล้วปฏิบัติดังนี้
เปิดไฟฉุกเฉิน นำรถเข้าไหล่ทาง
ในกรณีรถยางแตกห้ามเหยียบเบรคให้รถหยุดในครั้งเดียวโดยเด็ดขาด แต่ให้ค่อยๆแตะเบรคและ ปล่อยไหลประคองรถเข้าข้างทางจนจอดสนิท

– โทรขอความช่วยเหลือที่เบอร์ 1543
หลังจากโทรขอความช่วยเหลือที่ศูนย์บริการข้อมูลผู้ใช้ทางพิเศษ (EXAT Call Center) เบอร์ 1543 (สามารถโทรได้ตลอด 24 ชั่วโมง) ควรนั่งอยู่ในรถและคาดเข็มขัดนิรภัยอยู่ตลอดเวลา เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุ และควรล็อกประตูไว้ด้วย

– วางเครื่องหมายให้เป็นจุดสังเกต
เพื่อเป็นสัญลักษ์ให้รถคันหลังที่ตามมาทราบจะได้ระวังไม่ทำให้เกิดอุบัติเหตุซ้ำ หากมีกรวยสีส้ม หรือป้ายสามเหลี่ยมสะท้อนแสง ให้วางไว้ด้านท้ายและด้านหน้าของรถ โดยเว้นระยะห่าง จากรถอย่างน้อย 30-50 เมตร

-เบอร์ที่ควรรู้เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินบนทางด่วน
การทางพิเศษแห่งประเทศไทย โทร. 1543

ทางหลวงและมอเตอร์เวย์ โทร.1586

โทลล์เวย์ โทร. 1233

ตำรวจทางหลวง โทร. 1193

โทรฉุกเฉิน

ในกรณีที่โทรศัพท์มือถือเสียหายใช้งานไม่ได้ บนทางด่วนจะมีโทรศัพท์ฉุกเฉินตั้งอยู่ทุกๆ 500–1,000 เมตร
ขอความช่วยเหลือโดยแจ้งสาเหตุ อาการของรถหรือสถานการณ์ที่เกิดขึ้น รวมถึงจุดที่นำรถเข้าจอดอย่างละเอียด รวมทั้งหากมีคนป่วยหรือบาดเจ็บ(ในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ)ควรแจ้งด้วย และหากต้องการรถลากควรเเจ้งเจ้าหน้าที่ด้วย

ทำไมต้องสลับยางรถยนต์

การสลับยาง ช่วยเรื่องอะไรบ้าง ยืดอายุการใช้งานของยางได้จริงหรือ?

การสลับยางรถยนต์ นอกจากจะช่วยยืดอายุการใช้งานของยางแล้ว ยังช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายอีกด้วย ยางรถยนต์ถือเป็นอีกหนึ่งส่วนที่สำคัญมากๆต่อความปลอดภัยในการขับขี่ อาจเกิดอันตรายได้หากยางเสื่อมสภาพหรือมีปัญหา การสลับยางรถยนต์จึงเป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะยืดอายุการใช้งานของยางได้และเพิ่มความสมดุลของหน้ายางอีกด้วย
สลับยาง

ทำไมต้องสลับยางรถยนต์

เพราะยางทั้ง 4 เส้น ทำหน้าที่หนักเบาต่างกันไป จึงทำให้ยางนั้นสึกไม่เท่ากัน ยางที่ใช้งานแล้วมีอัตราการสึกเยอะที่สุดคือตำแหน่งของเพลาขับ เพราะเวลาที่รถออกตัวนั้นยางจะถูกแรงบดที่หน้ายางจึงทำให้หน้ายางสึกหรอดอกยางหาย มากกว่าเพลาตาม ซึ่งหากเราไม่สลับยาง ยางในเพลาขับอาจจะหมดดอกเร็วกว่า ในเพลาตามและอาจจะเป็นเหตุให้เกิดอันตรายได้ ทั้งนี้การสลับยางยังช่วยประหยัดเรื่องค่าใช้จ่ายด้วย เพราะจากที่ต้องเปลี่ยนยางทั้ง4เส้นก็เปลี่ยนมาเป็นการสลับยางเพื่อยืดอายุการใช้งานได้อีกด้วย

แนะนำว่าควรสลับยางทุก 10,000 กิโลเมตร เพื่อความปลอดภัยของรถและตัวท่านเอง ควรนำรถเข้าเช็คระยะและสลับยางถ่วงล้อที่ศูนย์บริการรถยนต์เป็นประจำตามระยะที่กำหนดกันด้วยนะครับ