เรื่อง

รถเร่งไม่ขึ้นเกิดจากอะไร?

สาเหตุที่เหยียบคันเร่งแล้วรถไม่พุ่ง เร่งไม่ขึ้นเพราะอะไร

อาการเครื่องอืด ออกตัวไม่แรง เหยียบคันเร่งไม่ขึ้น  อาการแบบนี้อาจบอกได้ว่าภายในเครื่องยนต์ผิดปกติ โดยส่วนใหญ่แล้วสาเหตุเป็นเพราะการละเลยไม่ดูแลเครื่องยนต์ ทำให้เครื่องยนต์ทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพนั่นเอง

รถเร่งไม่ขึ้น

สาเหตุที่เหยียบคันเร่งไม่ขึ้น เกิดจาก

  1. กรองอากาศ
    กรองอากาศสกปรกอุดตัน ทำให้เครื่องยนต์ดูดอากาศไม่เต็มที่ นอกจากอัตราเร่งตกแล้ว ยังสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงอีกด้วย จึงควรเปลี่ยนกรองอากาศทุก ๆ ระยะทาง 20,000 หรือ ระยะเวลา ไม่เกิน 12 เดือน

    2. หัวเทียน
    หน้าที่ของหัวเทียน คือ จุดระเบิดเผาไหม้น้ำมันเชื้อเพลิง หากหัวเทียนสึกหรอหรือมีปัญหาก็ทำให้การเผาไหม้ไม่สมบูรณ์ รถเหยียบเร่งไม่ขึ้น ทั้งยังทำให้รถกินน้ำมันอีกต่างหาก

    3. คอยล์จุดระเบิด
    คอยล์จะเป็นตัวกำเนิดไฟฟ้าแรงสูงส่งไปยังหัวเทียน เพื่อใช้ในการเผาไหม้เชื้อเพลิง เมื่อไรที่คอยล์เสื่อมก็ทำให้ผลิตแรงดันไฟไม่เพียงพอในการทำงาน

    4. กรองน้ำมันเชื้อเพลิง
    เมื่อไรที่กรองน้ำมันมีสิ่งสกปรกเข้าไปอุดตัน ก็ทำให้เกิดอาการสะดุด เครื่องเดินไม่นิ่ง เหยียบคันเร่งไม่ขึ้น ควรเปลี่ยนทุก ๆ ระยะ 40,000 กิโลเมตร

    5. น้ำมันเครื่อง
    หากไม่เปลี่ยนตามระยะเวลาที่กำหนดจะทำให้น้ำมันเครื่องมีสิ่งสกปรก ส่งผลทำให้รถอืดและเกิดการสึกหรอสูงขึ้น ควรเปลี่ยนทุก ๆ ระยะ 10,000 กิโลเมตร หรือ ระยะเวลาไม่เกิน 6 เดือน

    ***เพื่อให้เครื่องยนต์ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ เพื่อน ๆ ควรหมั่นตรวจเช็กเครื่องยนต์ และนำรถเข้าเช็กตามระยะอย่างสม่ำเสมอนะคะ***

 

เปลี่ยนน้ำมันเครื่อง-บ่อยแค่ไหน-น้ำมันเครื่อง-โตโยต้า

ควรเปลี่ยนน้ำมันเครื่องบ่อยแค่ไหน เพื่อถนอมรักษาเครื่องยนต์

เพราะเครื่องยนต์เปรียบเสมือนหัวใจของรถยนต์ น้ำมันเครื่องจึงสำคัญมากเช่นกัน เพราะช่วยทำหน้าที่บำรุงรักษาเครื่องยนต์ให้ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ ช่วยหล่อลื่น ลดแรงเสียดทาน ระบายความร้อนของเครื่องยนต์ ชำระล้างสิ่งสกปรกและยังช่วยป้องกันเครื่องยนต์ส่วนต่างๆ ไม่ให้สึกหรอ

เปลี่ยนน้ำมันเครื่อง-บ่อยแค่ไหน-น้ำมันเครื่อง-โตโยต้า

ควรเปลี่ยนน้ำมันเครื่องบ่อยแค่ไหน เพื่อถนอมรักษาเครื่องยนต์

การเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง
คือหนึ่งในสิ่งสำคัญของการดูแลถนอมรักษาเครื่องยนต์ เพื่อให้เครื่องยนต์ไม่มีปัญหาและยืดอายุการใช้งาน
การเปลี่ยนน้ำมันเครื่องตามการใช้งานของรถ รถใช้งานเยอะหรือน้อยแต่ละท่านใช้รถต่างกัน

การเปลี่ยนน้ำมันเครื่องจึงแบ่งเป็น 2 ระยะ คือ
-เช็คตามระยะทางหรือเข็มไมล์ รถใช้เยอะขับเยอะวิ่งงานต่างๆ ควรเปลี่ยนทุก 10,000 กิโลเมตร เพื่อบำรุงรักษาเครืองยนต์
-เช็คตามระยะเดือน สำหรับรถที่ไม่ค่อยได้ใช้งานไม่ค่อยได้ออกวิ่งก็ยังจำเป็นต้องเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง ทุก 6 เดือน เพื่อรักษาเครื่องยนต์ให้ไม่เกิดปัญหา

หากไม่มีการเปลี่ยนน้ำมันเครื่องนานเกินไปหรือเกินระยะที่กำหนดไปมาก อาจทำให้เครื่องยนต์เกิดความร้อนและแรงเสียดทานจนทำให้ชิ้นส่วนต่าง ๆ สึกหรอเร็วขึ้น หรือมีสิ่งสกปรกอุดตัน และยังอาจทำให้รถเป็นสนิมจนกัดกินลึกถึงเครื่องยนต์ได้ จะทำให้ประสิทธิภาพเครื่องยนต์ลดลง จนเป็นเหตุทำให้อะไหล่ชำรุดเสียหาย ทำให้ต้องจ่ายค่าซ่อมบำรุงที่แพงขึ้น เนื่องจากต้องเปลี่ยนอะไหล่ที่สึกหรอหรือชำรุดอีกด้วย

การเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง ทุกๆ 6 เดือน หรือ ทุกๆ10,000 กิโลเมตร จึงจำเป็นและสำคัญมากในการบำรุงรักษาเครื่องยนต์

***อย่าลืมตรวจเช็กน้ำมันเครื่องอยู่เสมอทั้งสี ระดับของน้ำมันเครื่อง หรือตรวจสอบว่าน้ำมันเครื่องมีจุดรั่วไหลหรือไม่***

รู้แบบนี้แล้วอย่าลืมนำรถเข้าเช็คระยะ-เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง ที่ศูนย์บริการรถยนต์ ตามระยะและเวลาที่กำหนดกันด้วยนะ

engine-oil_thumbnail
วิธีสังเกตง่ายๆว่า น้ำมันเครื่อง เริ่มหมดสภาพแล้วหรือยัง
engine-oil_thumbnail

วิธีสังเกตง่ายๆว่า น้ำมันเครื่อง รถเริ่มหมดสภาพแล้ว

วิธีสังเกตง่ายๆว่า น้ำมันเครื่อง รถเริ่มหมดสภาพแล้ว

น้ำมันเครื่อง รถยนต์ช่วยให้รถยนต์ประหยัดเชื้อเพลิงเกิดการเผาไหม้ที่หมดจด ป้องกันการสึกหรอและช่วยถนอมเครื่อง และน้ำมันเครื่องแต่ละประเภทถูกออกแบบมาเพื่อแต่ละรุ่นโดยเฉพาะ เพื่อให้การทำงานของเครื่องยนต์เต็มประสิทธิภาพ ดังนั้นผู้ใช้ควรรเลือกใช้เกรดน้ำมันที่ดีและเหมาะสมตรงตามรุ่นรถหรือตามคู่มือการใช้รถนะครับ

การเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องทุกครั้งจะมีการจดบันทึกวันที่ เดือน ปี และเลขกิโลเมตร ไว้ทุกครั้งเพื่อใช้ คำนวณกำหนดการเปลี่ยนถ่าย นอกจากนี้ยังสามารถสังเกตได้เองจากอาการต่างๆ ของเครื่องยนต์

ผู้ใช้รถสามารถสังเกตอาการเบื้องต้นง่ายๆว่าน้ำมันเครื่องรถยนต์เราเริ่มหมดสภาพ ดังนี้

  1. เสียงเครื่องยนต์ดังขึ้น
  2. อัตราเร่งแย่ลง อืดลงอย่างต่อเนื่อง
  3. สีของน้ำมันเครื่องเปลี่ยนไป
  4. กินน้ำมันเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้น
  5. น้ำมันเครื่องมีลักษณะข้นขึ้น หรือใสขึ้น
  6. รถที่ไม่ค่อยได้ใช้งานหรือจอดทิ้งไว้นานๆ ก็ทำให้น้ำมันเครื่องเสื่อมสภาพได้เหมือนกัน
  7. การขับขี่ในเมืองที่มีการจราจรหนาแน่น มีผลต่อการ เสื่อมคุณภาพของน้ำมันเครื่องได้เร็วกว่าปกติ

ข้อดีของการใช้น้ำมันเครื่องโตโยต้าแท้

  1. เกรดน้ำมันถูกออกแบบมาเพื่อรถ Toyota โดยเฉพาะ ให้การทำงานของเครื่องยนต์เต็มประสิทธิภาพ
  2. เครื่องยนต์ทำงานเต็มประสิทธิภาพตลอดเวลา
  3. ผ่านการทดสอบโดยวิศวกรที่ออกแบบเครื่องยนต์
  4. รับประกันงานบำรุงรักษา 1 ปี หรือ 20,000 km.

ขอขอบคุณข้อมูลจาก https://www.toyota.co.th


นัดหมายเช็กระยะ


 

เช็กรถหลังเดินทางไกล
เช็ครถหลังเดินทางไกล

เช็กรถหลังเดินทางไกล

เช็กรถหลังเดินทางไกล

การตรวจเช็กรถหลังจากเดินทางไกล ถือว่าเป็นเรื่องที่จำเป็นและไม่ควรมองข้าม เพราะการใช้งานรถยนต์นานๆหรือเดินทางไกลๆหลายชั่วโมง พวกชิ้นส่วนอะไหล่หรือของเหลวต่างๆ ภายในเครื่องยนต์ย่อมมีการสึกหรอหรือลดลงตามการใช้งานอยู่แล้ว ส่วนจะต้องเช็กอะไรบ้างที่ผู้ใช้รถสามารถเช็กได้ด้วยตนเอง ไปดูกันครับ

1. เช็กของเหลว

เช็กของเหลว เช็กรถหลังเดินทางไกล

อันดับแรกเราควรตรวจเช็กของเหลวต่างๆภายในเครื่องยนต์ ให้อยู่ในระดับที่ปกติ อาทิเช่น น้ำมันเครื่อง น้ำมันเกียร์ น้ำมันเบรก น้ำมันพาวเวอร์ ระดับน้ำในหม้อน้ำ และน้ำฉีดกระจกหน้ารถ เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ ยิ่งมีการใช้งานหนักหรือใช้งานต่อเนื่องหลายชั่วโมง ก็ย่อมลดหรือพร่องลงอยู่แล้ว โดยเฉพาะน้ำมันเครื่อง หากเช็กดูแล้วว่ามีสีขุ่นมากกว่าปกติควรทำการเปลี่ยนถ่ายใหม่ เพราะน้ำมันเครื่องถือว่ามีความสำคัญมากไม่แพ้ของเหลวอื่นๆ เพราะจะช่วยหล่อลื่นชิ้นส่วนต่างๆของเครื่องยนต์ ปกป้องจากการเสียดสี หรือช่วยลดการสัมผัสกันโดยตรงของชิ้นส่วนโลหะเครื่องยนต์ด้วย

2. เช็กช่วงล่างและระบบกันสะเทือน

เช็กช่วงล่าง เช็กรถหลังเดินทางไกล

  • โช๊คอัพ ให้สังเกตว่ามีน้ำมันซึมออกมาหรือไม่ หรือลองใช้แรงกดที่บริเวณตัวถังรถ ว่ามีการเด้งยุบและคืนตัวเป็นปกติหรือเปล่า หากมีการเด้งคืนตัวเร็วหรือแข็งจนเกินไป แสดงว่าโช๊ครถยนเราอาจจะมีปัญหาก็ได้ (สัญญาณเตือนให้เปลี่ยนโช๊ค)

เช็กลมยาง เช็กรถหลังเดินทางไกล

3. ตัวถังรถ

ล้างรถหลังเดินทางไกล

หลังจากเดินทางไกล เราควรทำการล้างรถ แม้ว่าเราจะไม่ได้ขับลุยน้ำ โคลนมามากก็ตาม เพราะฝุ่น โคลนที่ติดกับรถ ถ้าปล่อยทิ้งไว้เป็นเวลานานแล้วนั้น อาจจะสร้างความเสียหายให้กับตัวสีรถเราได้
* แต่ไม่ควรล้างรถขณะเครื่องยนต์มีความร้อนสูง หรือขณะจอดรถใหม่ๆ อาจจะทำให้ชิ้นส่วนอะไหล่บางอย่างเกิดความเสียหายชำรุดได้


ทั้งนี้เพื่อช่วยให้เครื่องยนต์ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพอยู่เสมอ ผู้ใช้รถควรตรวจเช็กสภาพรถทั้งก่อนและหลังเดินทางไกลควบคู่กันไปด้วยนะครับ เพื่อความปลอดภัย และช่วยยืออายุการใช้งานของชิ้นส่วนอะไหล่ต่างๆของรถเรานะครับ

ด้วยความปรารถนาดีจาก ศูนย์โตโยต้ากรุงไทย

7 สิ่งที่ต้องเปลี่ยนเพื่อยืดอายุการใช้งานของรถ

7 สิ่งที่ต้องเปลี่ยนเพื่อยืดอายุการใช้งานของรถยนต์

7 สิ่งที่ต้องเปลี่ยน เพื่อยืดอายุการใช้งานของรถยน7 สิ่งที่ต้องเปลี่ยน เพื่อยืดอายุการใช้งานของรถยนต์

1. น้ำมันเครื่องรถยนต์ : น้ำมันเครื่องเป็นสิ่งจำเป็นอย่างแรกเลยสำหรับรถยนต์ที่จะต้องได้รับการดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างมาก เนื่องมาจากในชีวิตประจำวันยิ่งเราใช้งานรถยนต์บ่อยขึ้นเท่าไหร่ ก็ต้องขยันเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องรถยนต์มากขึ้นตามไปด้วยครับ ซึ่งตามอายุการใช้งาน เราควรจะเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องรถยนต์ตั้งแต่รถมีระยะการใช้งาน 5,000 ถึง 10,000 กิโลเมตรครับ

2. ไส้กรองน้ำมันเครื่อง : ผลพวงจากการใช้งานรถยนต์มาอย่างต่อเนื่องนั่นแหละครับ ที่จะทำให้รถของเราเสื่อมสภาพเร็วกว่ากำหนด ไส้กรองน้ำมันเครื่องก็เป็นส่วนสำคัญที่มีหน้าที่ในการกรองสิ่งสกปรกที่อาจจะหลุดเข้าไปในตัวเครื่องยนต์ของท่านได้ ซึ่งเราควรจะเปลี่ยนไส้กรองน้ำมันเครื่อง ตั้งแต่รถมีระยะการใช้งาน 5,000 ถึง 10,000 กิโลเมตรเช่นกัน

3. ไส้กรองอากาศรถยนต์ : สำหรับไส้กรองอากาศรถยนต์ สิ่งนี้เป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยกรองอากาศที่จะเข้าสู่ห้องโดยสาร และยังเป็นส่วนที่ทำให้เกิดปัญหาต่อเครื่องยนต์ด้วยครับ โดยอาการที่เราจะสังเกตเห็นได้ชัดเลยก็คือ เครื่องยนต์มีอัตรากำลังเร่งแผ่วลง, เครื่องยนต์มีอาการสั่น, อัตราการกินน้ำมันเชื้อเพลิงเปลืองมากกว่าปกติ และ ควันไอเสียมีสีดำเข้มขณะเร่งเครื่องยนต์

4. ผ้าเบรกรถยนต์ : ในส่วนของผ้าเบรกรถยนต์นั้น เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องดูแลเป็นอย่างยิ่ง เพราะนั่นคือความปลอดภัยของการขับขี่รถยนต์เลยก็ว่าได้ ผ้าเบรกรถยนต์ที่เสื่อมสภาพ มักจะเป็นส่วนเหล็กตรงก้ามเบรกที่เสียดสีกับจานเบรกทำให้จานเบรกเป็นรอย และอาจทำให้จานเบรกแตกหักได้ในอนาคต ดังนั้น ผ้าเบรกรถยนต์ เป็นสิ่งที่ต้องดูแลตามระยะการใช้งาน แนะนำว่าถ้าท่านใช้รถเป็นประจำ ก็ควรที่จะนำรถยนต์ของท่านเข้าเข้าเช็คระยะกับศูนย์บริการและอะไหล่อยู่เสมอ

5. แบตเตอรี่รถยนต์ : ตามอายุการใช้งานแล้ว แบตเตอรี่รถยนต์ ก็เป็นส่วนสำคัญที่ละเลยไม่ได้เลยทีเดียว ในระยะ 1-2 ปี ก็ควรที่จะเปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่ได้แล้ว เพื่อประสิทธิภาพในการใช้งาน และดูแลรักษารถของคุณ 

6. ยางปัดน้ำฝน : วิสัยทัศน์ในการมองเห็นก็เป็นปัจจัยสำคัญต่อการขับขี่ เมื่อยางปัดน้ำฝนมีปัญหาท่านไม่ควรที่จะละเลยการตรวจเช็ค และควรเปลี่ยนยางปัดน้ำฝนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งานและเพิ่มวิสัยทัศน์ในการมองเห็นให้ดีขึ้น และตัวทำร้ายยางปัดน้ำฝนของเราอย่างเลี่ยงไม่ได้ก็คือ แสงแดด ที่ส่องลงมาที่กระจก ความร้อนของแดดจะทำให้ตัวยางปัดน้ำฝนนั้นเสื่อมสภาพในการใช้งานได้ รู้แบบนี้แล้วต้องรีบกลับไปเช็ครถของคุณแล้วหล่ะครับ

7. หัวเทียนรถยนต์ : และสุดท้ายหัวเทียนรถยนต์ สำคัญเป็นอย่างมาก เพื่อป้องกันในส่วนของระบบการสตาร์ทของเครื่องยนต์มีปัญหา หัวเทียนรถยนต์ควรเปลี่ยนทุกๆ 40,000 กิโลเมตร หรือทุก 1 ปี 

       ทั้งหมดที่ได้เกริ่นมาข้างบนนี้ หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์ต่อท่านไม่น้อยเลยทีเดียว 7 สิ่งที่ต้องเปลี่ยนเพื่อยืดอายุการใช้งานของรถ เพื่อที่ท่านจะได้ถนอมอายุการใช้งานของเครื่องยนต์ให้อยู่กับท่านได้นานขึ้นไปครับ ท่านสามารถเข้ารับบริการต่างๆของเราได้ที่ โตโยต้า กรุงไทย ทั้ง 3 สาขา ดังนี้ สาขารามอินทรา, สาขาเกษตร และ สาขาตลิ่งชัน หรือ Call Center 02-510-9999 กด 9  นอกจากนี้ทางเรายังมีบริการ ศูนย์ซ่อมตัวถังและสี, ศูนย์บริการและอะไหล่ ไว้บริการท่านอีกด้วย
โตโยต้า กรุงไทย เรายินดีให้บริการอย่างเต็มความสามารถในทุกสาขา 
แล้วพบกันใหม่ในบทความหน้า สวัสดีครับ



ติดตามข่าวสาร โปรโมชั่นดีๆ และความเคลื่อนไหวของเรา

โตโยต้า กรุงไทย ได้ที่

youtube_logo  facebook icon  line icon  google plus icon  twitter icon


แชร์บทความ