เรื่อง

เลือกแบบไหนดีระหว่าง ซ่อมศูนย์กับซ่อมอู่

การใช้งานรถยนต์เมื่อถึงเวลาเสื่อมอายุการใช้งาน จำเป็นต้องเอารถเข้าซ่อม แต่จะเลือกซ่อมศูนย์หรือซ่อมอู่ ก็ต้องพิจารณาจากความสะดวกและความต้องการของเจ้าของรถ

การซ่อมทั้งสองแบบต่างกันอย่างไร แบบไหนคุ้มกว่า มีเทคนิคดีๆในการเลือกมาฝาก

การซ่อมศูนย์

การซ่อมศูนย์คือการนำรถเข้าไปซ่อมที่ศูนย์บริการของรถยี่ห้อนั้นๆ โดยช่างซ่อมที่เป็นมืออาชีพผ่านการรับรองมาตรฐานจากทางศูนย์บริการแล้ว หากต้องมีการเปลี่ยนอะไหล่ก็มั่นใจได้ว่าอะไหล่ที่ใช้จะเป็นอะไหล่แท้ของรถยนต์ยี่ห้อนั้น จึงช่วยเพิ่มความมั่นใจในมาตรฐานทั้งด้านการบริการและคุณภาพของอะไหล่ที่จะได้รับ และการซ่อมศูนย์ยังรับประกันงานซ่อมในระยะเวลาที่เหมาะสมด้วย โดยสามารถนำมาเข้าศูนย์บริการได้ทันทีหากเกิดปัญหาในภายหลัง 

การซ่อมอู่

การนำรถเข้าซ่อมตามอู่ซ่อมรถทั่วไป อาจเป็นอู่ใกล้บ้าน อู่ที่คุ้นเคยหรือแนะนำกันมา การซ่อมอู่แตกต่างจากการซ่อมศูนย์คือเรื่องมาตรฐานการซ่อม ดังนั้นหากไม่ใช่อู่ที่เคยใช้บริการเป็นประจำ หรืออู่ที่มีช่างมีฝีมือก็อาจเกิดปัญหาตามมาภายหลังได้ เช่น การซ่อมที่ไม่ได้มาตรฐานหรืออะไหล่ไม่มีคุณภาพ รวมไปถึงการรับประกันหลังซ่อมยังสั้นกว่าศูนย์บริการของรถยี่ห้อนั้นๆ

สำหรับผู้ที่ต้องการนำรถไปรับบริการที่อู่รถยนต์ต่าง ๆ อย่าลืมสังเกตด้วยว่าเป็นอู่ประเภทใด 

– อู่ในเครือประกัน คืออู่ซ่อมที่ผ่านการรับรองมาตรฐานจากบริษัทประกันที่ได้ทำประกันไว้ หากมีปัญหาสามารถนำมาซ่อมที่อู่ได้เลย

– อู่นอกเครือประกัน คืออู่ซ่อมรถทั่วไปที่ไม่ได้รับรองโดยบริษัทประกัน สามารถนำรถไปซ่อมได้แต่ต้องสำรองจ่ายก่อน และส่งเรื่องเคลมประกันทีหลัง

แม้ว่าการซ่อมอู่มีความรวดเร็วกว่าการซ่อมศูนย์ มีตัวเลือกเยอะสามารถเลือกอู่ที่ต้องการได้ในทุกพื้นที่ แต่ต้องเช็กให้ดีในเรื่องของคุณภาพอะไหล่และการบริการด้วย ซึ่งต่างจากศูนย์บริการที่มีมาตรฐานเดียวกันในทุกสาขา

ดังนั้นหากต้องเลือกว่าจะซ่อมศูนย์หรือซ่อมอู่ดีกว่ากัน ก็อาจต้องพิจารณาจากสถานการณ์ในตอนนั้นว่าเลือกซ่อมที่ไหนจะสะดวกและรวดเร็วที่สุด ได้รถกลับมาใช้ในชีวิตประจำวันเร็วที่สุด หากต้องใช้บริการซ่อมอู่ ควรเลือกอู่ที่มีประวัติเชื่อถือได้ รู้จักกันดี หรือผ่านการรับรองจากบริษัทประกัน ซึ่งจะช่วยเพิ่มความมั่นใจได้อีกระดับหนึ่ง

ซ่อมด่วนคุ้มค่า กับบริการ ECO PACK SERVICE ด้วยอะไหล่ทางเลือก สำหรับรถหมดระยะรับประกัน

โตโยต้า ร่วมมือกับเครือข่ายผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ และเครือข่ายผู้แทนจำหน่ายทั่วประเทศ แนะนำผลิตภัณฑ์ใหม่ อะไหล่ทางเลือก “ECO PACK SERVICE” สำหรับลูกค้าผู้ใช้รถยนต์โตโยต้าที่มีอายุมากกว่า 5 ปีขึ้นไป และหมดระยะรับประกันคุณภาพแล้ว ครอบคลุมงานบริการด้วยแพ็กเกจซ่อมด่วน 8 เมนูสำหรับรถยนต์ 7 รุ่น ด้วยบริการที่คุ้มค่าราคาสบายกระเป๋า ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษารถยนต์ พร้อมรับรองมาตรฐานการติดตั้งด้วยช่างเทคนิคมืออาชีพ และการรับประกันงานซ่อมจากโตโยต้า พร้อมให้บริการ ณ ศูนย์บริการผู้แทนจำหน่ายที่เข้าร่วมโครงการ ตั้งแต่ 24 เมษายน เป็นต้นไป

พร้อมให้บริการสำหรับรถยนต์โตโยต้า 7 รุ่น
– รถยนต์โดยสารส่วนบุคคล 3 รุ่น ได้แก่ Yaris , Vios , Altis

– รถยนต์เพื่อการพาณิชย์ 4 รุ่น ได้แก่ Vigo , Revo , Fortuner , Commuter

มั่นใจกับแพ็กเกจบริการจำนวน 8 เมนู ครอบคลุมความต้องการของลูกค้า

  1. บริการเช็คระยะพื้นฐาน (PM Lite)
  2. บริการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง
  3. ไส้กรองอากาศ
  4. ไส้กรองแอร์
  5. ใบปัดน้ำฝน
  6. ผ้าเบรก
  7. โช้คอัพ
  8. ยาง

เฉพาะลูกค้าเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง ECO PACK Service

แพ็กเกจเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องกึ่งสังเคราะห์แท้โตโยต้า พร้อมปะเก็นและไส้กรองอะไหล่ทางเลือก รับสิทธิ์เช็กเพิ่ม 38 รายการ

– ตรวจเช็กหมวดทั่วไป            10     รายการ

– ระบบปรับอากาศ                   3     รายการ

– ระบบหล่อเย็น                        3     รายการ

– ระบบบังคับเลี้ยว                    2     รายการ

– ระบบเครื่องยนต์                    9     รายการ

– ระบบเบรก                             3     รายการ

– ระบบช่วงล่าง                        4     รายการ

– ระบบส่งกำลัง                        4     รายการ

หมายเหตุ:

  1. จัดจำหน่ายในรูปแบบแพ็กเกจ (ราคาสุทธิ รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม 7%)
  2. ราคาปรับปรุงล่าสุด ณ เดือนเมษายน 2566
  3. ค่าบริการที่แสดงข้างต้น เป็นการประมาณค่าใช้จ่ายเบื้องต้นเท่านั้น ยังไม่รวมค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากงานบริการจริง
  4. เพื่อความสะดวกในการเข้ารับบริการ กรุณานัดหมายล่วงหน้า หรือสอบถามเพิ่มเติมที่ศูนย์บริการที่เข้าร่วมโครงการ
  5. บริษัทฯ ขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงราคา เวลา และเงื่อนไขการรับประกันฯ โดยไม่แจ้งให้ทราบล่วงหน้า

เช็กได้อย่างไรว่าต้องเปลี่ยน บูชคันเกียร์

บูชคันเกียร์ คือตัวช่วยล็อกให้เกียร์อยู่ในตำแหน่งที่ต้องการ หากบูชเกียร์หลวม หรือแตก จะทำให้เข้าเกียร์ยาก วิธีสังเกตคือ เกียร์มีอาการหลวม โยกไปมาได้มากกว่าปกติ ไฟแสดงตำแหน่งเกียร์ที่หน้าปัด เริ่มมีการคลาดเคลื่อน บูชคันเกียร์เสื่อมสภาพจะทำให้ไม่สามารถเปลี่ยนเกียร์ไปตำแหน่งอื่นได้ หรือเกิดอาการเกียร์หลุด สำหรับอาการเกียร์หลุดในเกียร์อัตโนมัติเกียร์จะค้างที่เกียร์ถอยหลัง แม้จะเปลี่ยนเกียร์แต่รถก็ยังถอยหลัง ถ้าเป็นเกียร์ธรรมดา ส่วนใหญ่จะหลุดจากเกียร์ที่ขับไปยังตำแหน่งเกียร์ว่าง ต้องรีบนำรถเข้าศูนย์เพื่อตรวจเช็คทันที

 

สัญญาณไฟหน้าปัดรถยนต์แจ้งเตือน มีความหมายอย่างไร

สัญลักษณ์ไฟแจ้งเตือนที่แสดงเป็นเครื่องหมายต่างๆ บนหน้าปัดรถยนต์ ผู้ขับขี่จำเป็นต้องให้ความสำคัญ เพื่อความปลอดภัยของรถ ผู้ขับขี่และผู้โดยสาร ซึ่งสัญลักษณ์ไฟแจ้งเตือนที่แสดงขึ้นมานั้นมีสีที่แตกต่างกัน เมื่อเราบิดสวิตช์กุญแจหนึ่งจังหวะ คือการแสดงเครื่องหมายต่างๆ บนหน้าปัดรถ และเมื่อสตาร์ทรถก็จะเห็นไฟต่างๆแสดงขึ้นมา 

ไฟเตือนหน้าปัดรถยนต์มี 3 สี

  1. สัญลักษณ์ ไฟสีแดง  หมายถึง อันตราย ต้องหยุดรถและตรวจสอบหาความผิดปกติตามสัญลักษณ์ที่แสดงขึ้นมาทันที
  2. สัญลักษณ์ ไฟสีเหลือง หมายถึง สัญญาณการเตือน แต่รถยังสามารถใช้ได้ปกติ เช่น เตือนน้ำมันใกล้หมด
  3. สัญลักษณ์ ไฟสีเขียว หมายถึง ผู้ขับขี่กำลังใช้ระบบนั้นๆอยู่ เช่น ไฟเลี้ยว แต่บางรุ่นก็มีสีแตกต่างจากนี้ไปบ้าง

สัญลักษณ์ที่พบเจอได้บ่อยในรถทั่วไป บอกอะไรบ้าง และเราควรรู้หากเกิดปัญหาว่าควรแก้ไขอย่างไร 

1. สัญลักษณ์เข็มขัดนิรภัย

   เป็นสัญลักษณ์เตือนก่อนออกรถว่าผู้โดยสารยังไม่คาดเข็มขัด เมื่อคาดแล้วสัญลักษณ์ก็จะหายไป บางรุ่นมีเสียงเตือนด้วย

  2. สัญลักษณ์ถุงลมนิรภัย

    เป็นสัญลักษณ์เตือนว่าถุงลมนิรภัยมีปัญหาไม่สามารถใช้งานได้ ให้รีบเข้าศูนย์ซ่อมทันที แต่ถ้าถุงลมนิรภัยไม่ได้มีปัญหา เมื่อสตาร์ทรถก็จะหายไปเอง

  3. สัญลักษณ์กาน้ำมันเครื่องสีแดง

    แปลว่าระบบน้ำมันเครื่องมีปัญหา ควรนำรถเข้าข้างทาง และเรียกช่างนำรถเข้าศูนย์ซ่อมทันที ห้ามขับต่อเด็ดขาด อาจส่งผลเสียต่อเครื่องยนต์   

    4. สัญลักษณ์เตือนแบตเตอรี่สีแดง

    สัญลักษณ์นี้ค่อนข้างอันตราย เพราะรถอาจมีความเสียหายได้หลายส่วน ควรหยุดรถและหาศูนย์ซ่อมที่ใกล้ที่สุดทันที ไม่ควรขับต่อ

    5. สัญลักษณ์ไฟ ABS

    ปกติสัญลักษณ์ไฟ ABS จะติดตอนสตาร์ทแล้วดับไป แต่ถ้ายังคงค้างอยู่แปลว่าตัวเบรกมีปัญหา ควรขับช้าๆและหาศูนย์ซ่อม

    6. สัญลักษณ์ไฟเบรกมือ

    เป็นสัญลักษณ์ที่แสดงเมื่อเราดึงเบรกมือขึ้น เพียงแค่เอาเบรกมือลงก็จะหายไป แต่ถ้าไม่หายไปแสดงว่าอาจมีปัญหาที่่น้ำมันเบรกหรือส่วนอื่นๆก็ได้ 

                   7. สัญลักษณ์ไฟเตือนอุณหภูมิหม้อน้ำรถ

        -อุณหภูมิสีฟ้า ไม่อันตราย เพียงแค่หม้อน้ำรถเย็นเกินไป อาจทำให้สตาร์ทไม่ติด

        -อุณหภูมิสีแดง ถือว่าอันตรายมาก เพราะถ้าอุณหภูมิสูงเกินไปหม้อน้ำอาจระเบิดได้ ไม่ควรขับต่อ 

     8. สัญลักษณ์เครื่องยนต์สีเหลือง

    เป็นสัญลักษณ์เตือนว่าเครื่องยนต์มีปัญหา ควรรีบเข้าศูนย์ซ่อมเพื่อตรวจสอบ

     9. สัญลักษณ์กาน้ำมันสีเหลือง

    สัญลักษณ์นี้จะแสดงต่อเมื่อระดับน้ำมันเครื่องต่ำ ควรตรวจสอบและเติมน้ำมันเครื่อง หากยังไม่หายไป อาจเป็นเพราะมีการรั่วซึมจากการที่อุปกรณ์เสื่อมสภาพ

     10. สัญลักษณ์ปั้มน้ำมัน

     สัญลักษณ์เตือนว่าน้ำมันกำลังจะหมด ให้รีบหาปั้มเติมน้ำมันด่วน

     11. สัญลักษณ์ไฟตัดหมอก

     เป็นสัญลักษณ์ที่จะแสดงตอนเราเปิดไฟตัดหมอกหน้ารถ

      12. สัญลักษณ์ไฟหรี่

      เป็นสัญลักษณ์ที่แสดงเมื่อเราเปิดไฟหรี่หน้ารถ

      13. สัญลักษณ์ไฟสูง

      เป็นสัญลักษณ์ที่แสดงตอนเราเปิดไฟสูงหน้ารถ

สัญลักษณ์ต่างๆมีความสำคัญ อย่างน้อยควรหมั่นดูหน้าปัดว่ามีสัญลักษณ์ที่ผิดปกติแสดงขึ้นมาหรือไม่ เมื่อรู้เราจะได้แก้ไขปัญหาเบื้องต้นได้ทันที ก่อนจะเกิดเหตุการณ์ที่ผิดปกติกับรถของเรา

TOYOTA เผยยอดขายรถยนต์เดือน พฤษภาคม 2566

โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย เปิดเผยตลาดรถยนต์เดือนพฤษภาคม 2566 เพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา

Toyota Motor Thailand รายงานการขายรถยนต์ประจำเดือนพฤษภาคม 2566 

โดยเปิดเผยว่า ตลาดรถยนต์เดือนพฤษภาคม 2566 มีปริมาณการขายที่ 65,088 คัน เพิ่มขึ้น 0.5 % โดยตลาดรถยนต์นั่งยังเดินหน้าต่อเนื่อง เป็นเซกเมนท์สำคัญที่ผลักดันการเจริญเติบโตของตลาดรถยนต์เดือนนี้ด้วยยอดขาย 25,985 คัน เติบโตถึง 29.4% ในขณะที่รถยนต์เพื่อการพาณิชย์มีการชะลอตัวขายไม่ค่อยดีเท่าที่ควร โดยมีตัวเลขยอดขาย 39,103 คัน ลดลง 12.4% เป็นผลมาจากการชะลอการตัดสินใจซื้อของภาคธุรกิจและภาคประชาชน ในขณะที่ตลาดรถยนต์นั่งโดยเฉพาะอย่างยิ่ง Eco Car มีอัตราการเจริญเติบโตที่ดีอย่างต่อเนื่อง

ตลาดรถยนต์ในเดือนมิถุนายนยังมีแนวโน้มชะลอตัวเนื่องจากเศรษฐกิจ และความมั่นใจของผู้บริโภคที่ยังไม่ดีขึ้น ความไม่จัดเจนทางการเมือง ตลอดจนสถาบันการเงินที่มีความเข้มงวดมากขึ้น เพราะยังกังวลต่อกำลังซื้อและความสามารถในการผ่อนชำระของผู้บริโภค