การเติมลมยางให้เหมาะสมกับประเภทใช้งาน
การเติมลมยางให้เหมาะสมกับประเภทใช้งาน
การเติมลมยางรถยนต์ มีความสำคัญอย่างไร ทำไมถึงต้องให้ความสำคัญกับการเติมลมยางขนาดนั้น นั้นก็เพราะ ยางรถยนต์เป็นส่วน แบกรับน้ำหนักทั้งหมด จึงเป็นสาเหตุที่ต้องคอยดูแลยางรถยนต์อย่างสม่ำเสมอ อย่าให้ลมยางรถยนต์อ่อนหรือแข็งมากเกินไป ซึ่งการเติมลมยางที่อ่อนกว่ามาตรฐาน จะทำให้อายุการใช้งานสั้นลง และจะส่งผลกระทบต่อไหล่ยาง จะให้เกิดความร้อนสูง และก็จะสึกหรอเร็วกว่าส่วนอื่นๆ จะทำให้ยางของเราไหม้ได้ หรือบริเวณแก้มยางฉีกขาดได้ด้วย และทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันด้วย และหากเติมลมยางเกินมาตรฐานมากเกินไป ก็จะทำให้พื้นที่สัมพันธ์ของหน้ายางกับพื้นถนนั้นลดลง ทำให้เกิดการลื่นไถลได้ง่าย เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ และอาจจะทำให้ยางเกิดการระเบิดได้ง่าย เมื่อได้รับแรงกระแทกหรือถูกของมีคม นอกจากนั้นก็จะส่งผลต่อการขับขี่ ที่ทำให้ความนุ่มนวลในการขับขี่ลดลง หากเราไม่ทราบว่าจะเติมเท่าไหร่ดี สามารถดูได้จากสติ๊กเกอร์ที่ติดอยู่ด้านข้างประตู หรือในสมุดคู่มือรถยนต์ได้นะครับ
และทำไมเราถึงต้องเติมลมยางให้เหมาะสมกับรถแต่ละประเภทละ ?
นั่นก็เพราะรถแต่ละประเภท มีขนาดยางไม่เท่ากัน ทั้งการใช้งานที่แตกต่างกัน การรับน้ำหนักก็ต่างกันของรถแต่ละประเภท ซึ่งมาตรฐาน การเติมลมยางรถยนต์ ก็จะแตกต่างกันไป โดยทางโรงงานผู้ผลิตจึงได้กำหนดการเติมลมยางรถออกมาเพื่อให้เหมาะสมกับการใช้งานของรถในแต่ละประเภท ดังนั้นเราลองมาดูกันว่า รถประเภทไหนควรเติมลมยางเท่าไหร่
วิธีการเติมลมยางที่เหมาะสมของรถยนต์แต่ละประเภท ดังนี้
- สำหรับการเติมลมยางรถกระบะ 2 ประตู และ 4 ประตู และรถ SUV (รถยนต์นั่งอเนกประสงค์) ให้เหมาะสมนั้น ซึ่งตามมาตรฐานแล้วควรจะเติมลมยางได้สูงสุดไม่เกิน 65 ปอนด์/ตารางนิ้ว
- รถเก๋งที่มีขนาดกลาง-ใหญ่ หรือรถเก๋งที่มีขนาดเครื่องยนต์ที่อยู่ในระดับ 1500 cc ขึ้นไป ความดันลมยางที่เหมาะสมอยู่ที่ประมาณ 30 – 35 ปอนด์ / ตารางนิ้ว
- รถเก๋งที่มีขนาดเล็ก ก็คือรถเก๋งที่มีขนาดเครื่องยนต์น้อยกว่าหรือเท่ากับ 1500 cc ซึ่งความดันลมยางที่เหมาะสม จะอยู่ที่ประมาณ 25 – 30 ปอนด์ / ตารางนิ้ว
ทั้งนี้การเติมลมยางให้เหมาะสมกับประเภทและการใช้งานของรถยนต์นั้น ถือได้ว่าเป็นการยืดอายุการใช้งานของรถยนต์และยางรถยนต์ได้อีกทาง และยังช่วยให้รถยนต์เราประหยัดน้ำมัน พร้อมทั้งยังช่วยสร้างความปลอดภัยในการขับขี่อีกด้วยนะครับ