เรื่อง

ขับรถตอนฝนตก ถนนลื่นอย่างไรให้ปลอดภัยตลอดเส้นทาง

การขับรถในขณะฝนตกต้องใช้ความระมัดระวังมากขึ้นกว่าการขับรถปกติ ด้วยวิสัยทัศน์การมองเห็นที่ยากขึ้น ถนนลื่นก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุในหน้าฝนอยู่บ่อยครั้ง ดังนั้น จึงขอแชร์เทคนิคการขับรถเมื่อเจอฝนตกถนนลื่น เพื่อลดความเสี่ยงและเพิ่มความปลอดภัยในการขับรถขณะฝนตก ดังนี้

เทคนิคการขับรถเมื่อเจอฝนตก ถนนลื่น

  1. เปิดไฟหน้า-ไฟท้าย

      การขับรถตอนฝนตกบนท้องถนนร่วมกับคันอื่นๆ จำเป็นต้องเปิดไฟหน้าและไฟท้าย เพื่อให้รถที่ตามมาข้างหลังเห็นเราชัดขึ้น ช่วยลดอุบัติเหตุบนท้องถนนได้

      – การเปิดไฟหน้า ควรใช้สัญญาณไฟปกติ หากมีไฟตัดหมอก สามารถเปิดได้ แต่ไม่ควรใช้ไฟฉุกเฉิน หรือที่เรียกว่า ไฟกระพริบ เพราะจะทำให้รถคันที่ตามมาไม่รู้ว่ารถของเรากำลังจอดหรือขับอยู่บนถนน อาจทำให้เกิดการชนท้ายได้

      – ไม่ควรเปิดไฟหน้าสูง เพราะจะทำให้รถที่วิ่งสวนทางมาโดนไฟส่องแยงตา ทำให้ตาพล่ามัวมองถนนได้ไม่ชัด อาจเกิดอุบัติเหตุได้

  1. การเปิดที่ปัดน้ำฝน

      ที่ปัดน้ำฝนจำเป็นอย่างมาก ช่วยให้เรามองเห็นเส้นทางบนถนนในขณะที่กำลังขับรถฝ่าฝน ซึ่งถ้าฝนตกปอยๆ ไม่หนัก อาจเลือกให้ที่ปัดน้ำฝนแบบครั้งเดียว หรือปัดสองครั้งหยุด แต่ถ้าฝนตกหนัก ต้องใช้ที่ปัดน้ำฝนแบบอัตโนมัติอยู่ตลอดเวลา เพื่อเพิ่มวิสัยทัศน์การมองเห็นให้ชัดเจนมากขึ้น

  1. รักษาระยะห่างจากรถคันหน้า

      ฝนที่ตกจะไปชะล้างคราบดิน โคลน หรือคราบน้ำมันบนถนน เป็นสาเหตุทำให้ถนนลื่น จึงควรเว้นระยะห่างจากรถคันหน้ามากกว่าระยะห่างปกติในการขับขี่เป็น 2 เท่า เพื่อให้ระยะเบรกของเราสามารถหยุดรถได้ทัน หากเกิดเหตุสุดวิสัยขณะขับรถ เพื่อความปลอดภัย

  1. ความเร็วในการขับขี่

      เพื่อเป็นการลดความเสี่ยงการขับรถในขณะฝนตก แนะนำให้ใช้ความเร็วที่เหมาะสม ซึ่งความเร็วในระดับที่ปลอดภัยที่สุดคือ 40-60 กิโลเมตร/ชั่วโมง เพราะเป็นความเร็วที่เราจะสามารถควบคุมรถไม่ให้ลื่นไถลได้

  1. ป้องกันการเกิดฝ้าที่กระจกรถ

      สาเหตุหนึ่งที่กวนใจขณะขับรถคือ การเกิดฝ้าที่กระจกเพราะทำให้บดบังทัศนียภาพการมองเห็นถนน มักเกิดขึ้นเมื่ออุณหภูมิเย็นจัด และการขับรถตอนฝนตกจะทำให้เกิดฝ้าที่กระจกได้ง่ายกว่าปกติ ดังนั้นจึงต้องรู้วิธีป้องกันเพื่อไม่ให้เกิดฝ้าขณะขับรถตอนฝนตก ก่อนอื่นต้องสังเกตุว่าเกิดฝ้าขึ้นที่ภายนอกหรือภายในกระจกรถ คือหากอากาศภายในรถเย็นกว่าอากาศภายนอกรถ จะทำให้เกิดฝ้าที่กระจกด้านนอก  แต่ถ้าหากภายนอกรถเย็นกว่าอากาศภายในรถ จะทำให้เกิดฝ้าที่กระจกด้านใน  ดังนั้นจึงควรที่จะรักษาอุณหภูมิภายในและภายนอกรถให้เท่ากัน เพื่อไม่ให้เกิดฝ้ากระจก มีวิธีแก้ไขดังนี้

    – ปรับทิศทางแอร์ ไม่ให้หันไปโดนกระจกรถ

    – ปรับอุณหภูมิแอร์ภายในรถ เพื่อให้อากาศภายในและภายนอกรถเท่ากัน

    – ลดกระจกลงเล็กน้อย เพื่อให้อากาศเกิดการถ่ายเททำให้ฝ้าจางลง

    – ใช้ฝ้าหรือที่ปัดน้ำฝนเช็ด เพื่อลดฝ้าที่เกิดขึ้น    

สิ่งสำคัญที่ไม่ควรละเลยคือ การหมั่นตรวจเช็กสภาพรถให้พร้อมใช้งานอยู่เสมอ โดยตรวจสอบสัญญาณไฟให้อยู่ในสภาพที่ใช้งานได้ ตรวจสอบอุปกรณ์ที่ปัดน้ำฝนให้ใช้ปัดกวาดน้ำฝนได้สะอาด ไม่มีรอยฝ้า หรือรอยขูดขีดบนกระจก รวมถึงหมั่นเติมน้ำในกระปุกฉีดน้ำอยู่เสมอ

5 เทคนิค ขับรถให้ประหยัดน้ำมัน ลดค่าใช้จ่าย

หลายคนที่ต้องเดินทางด้วยรถยนต์ทุกวัน ก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงค่าใช้จ่ายเรื่องค่าน้ำมันรถได้ ราคาน้ำมันก็มีการปรับสูงขึ้นเรื่อยๆ แต่เราสามารถประหยัดน้ำมันได้ด้วยตัวเอง เพียงนำเทคนิคการขับรถนี้ไปใช้ 

5 เทคนิคการขับรถช่วยประหยัดน้ำมัน

  1. ขับรถด้วยความเร็ว 80-90 กม./ชม. หากเราไม่ได้เร่งรีบในการเดินทาง ก็ไม่จำเป็นต้องขับเร็ว เพราะจะทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันโดยไม่จำเป็น การขับรถให้ความเร็วอยู่ที่ 80-90 กม./ชม. ช่วยประหยัดน้ำมันได้ถึง 10-15 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับการขับด้วยความเร็ว 95-100 กม./ชม
  1. ไม่บรรทุกของหนักเกินจำเป็น การบรรทุกของหนัก 10 กก. ในระยะทาง 25 กม. ทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันได้ 40 ซีซี. นอกจากนี้การนำสัมภาระขึ้นไปผูกวางไว้บนหลังคา ส่งผลให้เพิ่มการบริโภคน้ำมันเฉลี่ย 5 เปอร์เซ็นต์ เนื่องจากเป็นการขับต้านลมขณะรถวิ่งนั่นเอง
  1. วางแผนการเดินทาง ควรศึกษาเส้นทางให้ดีก่อนการเดินทาง จะช่วยให้ขับรถถึงที่หมายเร็วขึ้น เป็นเทคนิคช่วยประหยัดน้ำมันอีกทางหนึ่ง รวมถึงช่วยให้หลีกเลี่ยงเส้นทางที่รถติด เพราะรถติดเพียงครึ่งชั่วโมง สามารถสิ้นเปลืองน้ำมันได้มากถึง 750 ซีซี.
  1. ควรเติมลมยางให้ตรงตามมาตรฐาน ตรวจเช็คลมยางอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง ไม่ควรปล่อยให้ความดันลมยางอ่อนกว่ามาตรฐาน เพราะทุก 1 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว ทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันเพิ่มขึ้น 2 เปอร์เซ็นต์ หากลมยางแข็งเกินไป ก็อาจเป็นอันตรายต่อผู้ขับขี่ได้
  1. สตาร์ทเครื่องไม่เปิดแอร์ – ปิดแอร์ก่อนถึงที่หมาย 2-3 นาที หลีกเลี่ยงการเปิดแอร์และเครื่องเสียง พร้อมกันขณะสตาร์ทเครื่อง เพราะเท่ากับเพิ่มภาระให้เครื่องยนต์ทำงานหนัก ทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันถึง 10 เปอร์เซ็นต์  และการปิดแอร์ก่อนถึงที่หมาย 2-3 นาทีก็จะช่วยให้ประหยัดน้ำมันได้อีก 30 ซีซี.ด้วย

หากนำเทคนิคการขับรถให้ประหยัดน้ำมันนี้ไปใช้ จะพบว่าสามารถช่วยลดค่าใช้จ่ายการสิ้นเปลืองน้ำมันได้จริง ซึ่งจำเป็นมากในภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้

5 เทคนิคง่ายๆช่วยดูแลถนอมช่วงล่างให้หายห่วง

 

ช่วงล่างของรถทำหน้าที่รองรับน้ำหนักการบรรทุก และแรงสั่นสะเทือนเวลาขับขี่ รวมถึงเป็นตัวขับเคลื่อนในหลายๆอุปกรณ์ ให้รถยนต์สามารถเคลื่อนที่ไปข้างหน้า การบำรุงรักษาช่วงล่างจึงเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมาก

ขอแนะนำ 5 เทคนิคง่ายๆที่จะช่วยถนอมช่วงล่างของรถยนต์

  1. ในขณะขับขี่ให้สังเกตุพื้นผิวถนน หากมีความเสียหาย มีหลุม ขรุขระ ควรชะลอความเร็วในการขับขี่ ไม่ควรใช้ความเร็วเกินไป
  2. ไม่บรรทุกของหนักเกินจำเป็น ส่งผลต่อช่วงล่างและกลไกอื่นๆของรถ 
  3. หากต้องขับผ่านเส้นทางที่มีลูกระนาด หรือถนนลูกรัง หากรถบรรทุกหนัก ควรเหยียบเบรกเพื่อชะลอความเร็วก่อนที่จะถึงลูกระนาด และปล่อยเบรกขณะขึ้นลูกระนาด เพื่อลดแรงกระแทกต่อช่วงล่าง
  4. ควรเติมลมยางให้ได้ตามมาตรฐานเหมาะสมกับการใช้งาน หากลมยางแข็งเกินไปช่วงล่างจะรับแรงกระแทกเยอะ แต่หากลมยางอ่อนเกินไปจะทำให้ระบบการบังคับเลี้ยวทำงานหนักกว่าปกติ
  5. เข้าตรวจเช็กสภาพช่วงล่างตามระยะที่แนะนำ เพื่อให้รถพร้อมใช้งานอยู่เสมอ

หากปฏิบัติตามคำแนะนำก็จะช่วยยืดอายุการใช้งานช่วงล่างได้ หากพบความผิดปกติเวลาขับขี่ เช่น มีเสียงดังผิดปกติ รถไม่นิ่ง การควบคุมพวงมาลัยไม่เหมือนเดิม เป็นสัญญาณบอกว่าช่วงล่างอาจมีปัญหา ให้รีบนำรถเข้าตรวจเช็กที่ศูนย์บริการทันที

คิกดาวน์ บ่อยๆ ส่งผลอายุการใช้งานเกียร์สั้นลง

การคิกดาวน์ (Kickdown) คือการเหยียบคันเร่งให้ลึกกว่าปกติเพื่อลดตำแหน่งเกียร์ลงมา 1-2 ระดับ ซึ่งจะช่วยเรียกกำลังให้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เหมาะสำหรับการเร่งแซงที่ต้องการเพิ่มความเร็วในทันที

แต่การคิกดาวน์ มีผลทำให้รอบเครื่องยนต์ขึ้นเกือบสูงสุด ชุดเกียร์ต้องรองรับแรงบิดที่เพิ่มขึ้นอย่างทันทีทันใด ชุดเฟืองเกียร์ก็ต้องรับแรงบิดที่มากขึ้น เกียร์มีการเสียดสีอย่างรุนแรง ทำให้เกิดการสึกหรอในชุดคลัตช์ของเกียร์ได้ หากทำเช่นนี้ประจำจะส่งผลให้อายุการใช้งานเกียร์สั้นลง และมีผลทำให้เปลืองน้ำมันด้วยเช่นกัน

ทางที่ดีควรคิกดาวน์เท่าที่จำเป็นเท่านั้น (เช่นการแซงบนถนนเลนสวน) แต่ถ้าเป็นถนนหลายเลน ให้ใช้วิธีค่อยๆเพิ่มความเร็ว จะช่วยยืดอายุการใช้งานชุดเกียร์ได้

ควรเลือกแบตเตอรี่รถยนต์แบบไหน ให้เหมาะสมกับการใช้งาน

แบตเตอรี่ ถือเป็นอุปกรณ์ที่สำคัญมากสำหรับรถยนต์ทุกคัน เพราะมันคือแหล่งพลังงานแรกที่จะเอาไว้สตาร์ทเครื่องยนต์ให้ติดและพร้อมเดินทางได้ และมีอายุการใช้งาน เมื่อแบตหมดก็ต้องเปลี่ยนใหม่ 

 ปัจจุบันด้วยเทคโนโลยีที่มีความทันสมัยมากขึ้น แบตเตอรี่รถยนต์จึงถูกผลิตออกมาหลากหลายประเภท แต่ละประเภทมีข้อดี-ข้อเสียอะไรบ้าง

  1. แบตเตอรี่แบบน้ำ หรือ แบตเตอรี่ธรรมดา คือแบตเตอรี่ที่หลายคนคุ้นเคยดีเป็นที่นิยมใช้มากที่สุด ราคาถูกสุด แต่ก่อนใช้งานต้องมีการเติมน้ำกรดลงไป แล้วชาร์จไฟเข้าไปก่อนการใช้งาน การเลือกใช้แบตเตอรี่ประเภทนี้ต้องดูแลเติมน้ำกลั่นอย่างสม่ำเสมอ 

      ข้อดี : มีความทนทานต่อการปะจุไฟเกินและคายประจุ มีอายุที่ใช้งานค่อนข้างนานและราคาถูก

      ข้อเสีย : ต้องคอยตรวจสอบระดับน้ำกลั่นก่อนการใช้งานอยู่เสมอ อาจจะสัปดาห์ละครั้งขึ้นอยู่กับการใช้งาน และหากมีการเคลื่อนย้ายตัวแบตเตอรี่ต้องระมัดระวังสารละลายที่อาจรั่วไหลออกมาได้

  1. แบตเตอรี่แบบแห้ง คือแบตเตอรี่ที่ได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน เนื่องจากไม่จำเป็นต้องดูแลอะไรเลย ไม่ต้องคอยเติมน้ำกลั่น สามารถปล่อยทิ้งไว้ในสภาพที่ไม่มีประจุไฟได้นานกว่าแบตเตอรี่แบบน้ำ ไม่ต้องชาร์จไฟเพื่อกระตุ้นแบตเตอรี่

      ข้อดี : เหมาะกับคนในยุคปัจจุบันที่ไม่ค่อยมีเวลาในการดูแลรถยนต์ ไม่ต้องเช็กบ่อยๆ ไม่ต้องเติมน้ำกลั่น แบตไม่หมดแม้จะไม่ได้ใช้รถเป็นเวลานาน

      ข้อเสีย : มีราคาค่อนข้างสูงกว่าแบตเตอรี่แบบน้ำ และ แบตเตอรี่กึ่งแห้ง และตัวแบตฯมีรูระบายอากาศค่อนข้างเล็ก อาจอุดตันง่าย ส่งผลให้เกิดแรงดันภายในแบตเตอรี่ได้

  1. แบตเตอรี่แบบกึ่งแห้ง หรือ แบต MF คือแบตเตอรี่ที่ยังมีรูให้สามารถเติมน้ำกลั่นได้ เป็นแบตฯที่ยังต้องดูแลอยู่เสมอ อาจไม่บ่อยเท่าแบตเตอรี่แบบน้ำ โดยหมั่นตรวจสอบระดับน้ำกลั่นปีละ 1-2 ครั้งเท่านั้น เนื่องจากน้ำกรดในแบตเตอรี่กึ่งแห้งนั้นมีความเข้มข้นกว่าแบตเตอรี่แบบน้ำ ทำให้ระเหยได้ช้ากว่า

      ข้อดี : ไม่ต้องเช็กหรือเติมน้ำกลั่นบ่อยเหมือนแบตเตอรี่แบบน้ำ เพราะภายในมีการป้องกันการระเหยของน้ำกลั่นที่แน่นหนาพอสมควร

      ข้อเสีย : ถึงแม้จะไม่ต้องเติมน้ำกลั่นบ่อย แต่ก็ต้องหมั่นตรวจเช็กอยู่เสมอ อายุการใช้งานอาจไม่นานเท่าแบตเตอรี่แบบน้ำ

  1. แบตเตอรี่ไฮบริด คือแบตเตอรี่ที่ได้รับการพัฒนามาจากแบตเตอรี่แบบน้ำ ภายในประกอบด้วยโลหะผสมระหว่างตะกั่วกับแคลเซียม แบตฯประเภทนี้จะมีอัตราการระเหยของน้ำกลั่นน้อยกว่าแบตเตอรี่รุ่นธรรมดามาก แบตเตอรี่ไฮบริดมักใช้กับรถที่ใช้งานหนักๆ เช่น รถบรรทุก รถโดยสาร หรือ รถรับจ้าง เป็นต้น

      ข้อดี : มีการระเหยของน้ำกลั่นน้อยกว่าแบตเตอรี่รุ่นธรรมดามาก ทำให้สามารถใช้งานได้อย่างยาวนาน

      ข้อเสีย : มีราคาที่สูงมาก มักใช้กับรถขนาดใหญ่

      การเลือกแบตเตอรี่รถยนต์ให้เหมาะสม ควรขึ้นอยู่กับการใช้งานของผู้ใช้รถ เช่น หากต้องการแบตเตอรี่ที่ทนทาน ราคาถูก แบตเตอรี่แบบน้ำตอบโจทย์ที่สุด  ส่วนผู้ใช้รถที่ไม่ค่อยมีเวลามาเช็กบ่อยๆ ไม่เกี่ยงราคา ก็เหมาะกับแบเตอรี่แบบแห้งเพราะไม่ต้องเติมน้ำกลั่น ไฟไม่หมดแม้ไม่ค่อยได้ใช้รถ อาจต้องเสียเงินมากขึ้นเพื่อแลกกับความสะดวกสบาย